เมื่อ เป็นหนี้บัตรเครดิต จน ถูกฟ้อง สิ่งที่ต้องทำคือไปขึ้นศาลให้ตรงตามนัดครับ เพราะหากเราไม่ไปศาล ผลที่จะออกมาน่าจะ 100% คือเราแพ้คดี ต้องชำระหนี้ แทบจะทุกอย่างที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องต่อศาลครับ แต่หากเราไปขึ้นศาลตามนัดยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ต่อให้สุดท้ายแล้วเราอาจไม่ได้เป็นฝ่ายชนะคดีก็ตาม
สิ่งที่ควรทำเมื่อ ถูกฟ้อง เมื่อ เป็นหนี้บัตรเครดิต
1 ไปศาลตามนัด
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นครับ เมื่อ ถูกฟ้อง สิ่งสำคัญมากคือเราต้องไปศาลตามนัด หากไม่ไปศาลฝ่ายเจ้าหนี้ ซึ่งเมื่อฟ้องคดีแล้วจะถูกเรียกว่า ฝ่ายโจกย์ คงต้องยกข้อต่อสู้คดีทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นไปตามกฏหมาย เสนอต่อศาล แล้วศาลก็จะพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวตามที่ฝ่ายโจกย์ นำเสนอท้ายที่สุดเราคงต้องแพ้คดี เพราะไม่ไปศาลตามนัดครับ
2 ไกล่เกลี่ย ก่อนฟ้อง
อันนี้จะเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ยก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาล เจ้าหนี้ กับ ลูกหนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกันก่อนที่จะถึงกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งขั้นตอนนี้เราสามารถเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้ในหลายๆ ทางเพื่อที่จะยุติการเป็นหนี้ เช่นการ Hair Cut หากเจ้าหนี้พอใจตามที่ ก็จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อบันทึกเป็นข้อตกลงร่วมกัน แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น
3 ต่อสู้คดี
หากไกล่เกลี่ยกันก็แล้ว เจรจาต่อรองกันก็แล้ว คงต้องต่อสู้กันไปตามประเด็นของคดีที่ถูกฟ้อง เช่น ถูกฟ้อง ให้ชำระ หนี้บัตรเครดิต พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา เบี้ยปรับ ดอกเบี้ยผิดนัด เป็นต้น เราก็ต้องต่อสู้ตามประเด็นที่ถูกฟ้องมาครับ แต่ก็อาจจะมีทางชนะคดีได้ เช่น ต่อสู้ว่าหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาฟ้องคดีนั้น ขาดอายุความแล้ว หรือเจ้าหนี้คิดเบี้ยปรับ หรือดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งศาลก็จะพิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่แต่ละฝ่ายนำเสนอ ซึ่งอย่างไรก็ตามหากหนี้บัตรเครดิตถูกต้องตามกฎหมายและเราไม่ชำระหนี้ตามสัญญา ปกติก็จะแพ้คดีและถูกศาลสั่งให้ชำระหนี้
4 ไกล่เกลี่ย หลังฟ้องคดี
ถึงแม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณา คู่ความ สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขอไกล่เกลี่ยกันได้ โดยในขั้นตอนนี้ศาลจะมีการแต่งตั้งผู้ประนีประนอมเพื่อมาอำนวยความสะดวกให้ในการไกล่เกลี่ย ซึ่งเราก็สามารถที่จะเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ได้ เหมือนกันกับข้อ 2 อีกครั้ง หากทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงร่วมกันได้ ก็จะมีการนำมาสู่การถอนฟ้อง และทำสัญญาประนีประนอมตามตกลง ศาลก็จะมีการพิพากษาตามยอมให้ตามที่ตกลงกันครับ
5 ขอลดยอดเมื่อถูกบังคับคดี
ท้ายที่สุดไม่ว่าเราจะแพ้คดีเพราะการไม่ไปศาล แพ้คดีเพราะต่อสู้คดีแล้วแพ้ ศาลก็จะมีคำสั่งให้เราชำระหนี้ตามฟ้องซึ่งจะเรียกว่า ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ปกติจะกำหนดเวลาให้ชำระหนี้นั้นและหากไม่ชำระ ฝ่ายแพ้คดีก็จะถูกบังคับคดี ยกตัวอย่างมนุษย์เงินเดือน หากถูกบังคับคดี อาจถูกยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ หรือถูกอายัดเงินเดือนเพื่อหักมาชำระหนี้ก่อน ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือน และเมื่อหักแล้วเงินเดือนต้องเหลือไม่น้อยกว่า 20,000 บาท ซึ่งจากตัวอย่างเราสามารถ ยื่นคำร้องต่อสำนักงานบังคับคดี เพื่อขอลดจำนวนเงินที่หักจาก 30% ให้เหลือซัก 10% ก็ได้ตามที่เห็นสมควรหากสำนักงานบังคับคดีเห็นตามที่เราเสนอก็อาจจะถูกหักเงินนำมาชำระหนี้น้อยลงครับ
อย่างไรก็ตามการ ถูกฟ้อง จากการ เป็นหนี้บัตรเครดิต อยากให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะหากเราเป็นหนี้จริงสุดท้ายก็ต้องแพ้คดี ต้องจ่ายหนี้นั้น แถมยังต้องมาเสียเวลาไปศาล เสียค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ซึ่งก่อนที่เราจะถูกฟ้องเราอาจจะคุยกับเจ้าหนี้ เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการปรับโครงสร้างหนี้เป็นการขอเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อที่เรายังสามารถจ่ายหนี้นั้นได้โดยที่ไม่ ผิดนัด ซึ่งผลจากการผิดนัดนั้นจะมีเรื่องอื่นๆ ตามมาหลายๆ เรื่อง ซึ่งการขอปรับโครงสร้างหนี้เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายวิดีแต่ละวิธีมีผลแตกต่างกันทั้งเรื่องยอดเงิน หรือต่อประวัติในเครดิตบูโร เพราะฉะนั้นก่อนใช้วิธีใดวิธีหนึ่งอาจจะสอบถามสถาบันการเงินในประเด็นนี้ด้วยก่อนตัดสินใจใช้เงื่อนไขใดๆ นะครับ….ขอให้โชคดี