วิธีต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้: เคล็ดลับที่คนไม่ค่อยรู้ (ฉบับเข้าใจง่าย ทำตามได้จริง)

วิธีต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้ เคล็ดลับที่คนไม่ค่อยรู้ (ฉบับเข้าใจง่าย ทำตามได้จริง)
วิธีต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้ เคล็ดลับที่คนไม่ค่อยรู้ (ฉบับเข้าใจง่าย ทำตามได้จริง)

เคยไหมครับ? ความรู้สึกเหมือนมีภูเขาทั้งลูกมากดทับอยู่บนบ่า… หายใจก็ลำบาก จะขยับตัวไปไหนก็หนักอึ้ง… ผมเชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้คงกำลังรู้สึกแบบเดียวกันใช่ไหมครับ? ความรู้สึกที่ว่านี้มันคือ “หนี้สิน” ครับ

ไม่ต้องตกใจนะครับ ไม่ต้องอาย ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เพราะเรื่องหนี้สินเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้อะไรก็ตามแต่ ยิ่งในยุคเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เลยครับ

แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ “หนี้สิน… ไม่ได้แปลว่าชีวิตจบสิ้นนะครับ” มันอาจจะดูเหมือนเป็นปัญหาใหญ่โตมโหฬาร แต่จริงๆ แล้วมันมีทางออกเสมอครับ และหนึ่งในทางออกที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะยังไม่กล้าลองทำ ก็คือ “การต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้” นี่แหละครับ

หลายคนพอพูดถึงคำว่า “ต่อรองหนี้” อาจจะรู้สึกว่า “โอ๊ย… ยากเกินไป” “ไม่รู้จะเริ่มยังไง” “เจ้าหนี้จะยอมเหรอ?” ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยครับ แต่เชื่อผมเถอะครับว่า “การต่อรองหนี้… ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด” และที่สำคัญคือ “มันเป็นสิทธิของเราในฐานะลูกหนี้ด้วยซ้ำ”

บทความนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาสอนทฤษฎียากๆ หรือศัพท์แสงทางการเงินที่ฟังแล้วปวดหัวนะครับ แต่ผมจะมา “เล่าให้ฟัง” เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน ถึง “เคล็ดลับการต่อรองหนี้ที่คนไม่ค่อยรู้” เคล็ดลับที่ผมรวบรวมมาจากการศึกษาข้อมูล และประสบการณ์จริง (ที่ไม่ใช่ของผมคนเดียวนะครับ 😉) รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะรู้สึก “มีกำลังใจ” ขึ้นเยอะ และ “มองเห็นทางออก” ที่ชัดเจนขึ้นแน่นอนครับ

ทำไมต้องต่อรองหนี้?

เอาล่ะครับ ก่อนที่เราจะไปลงลึกในเรื่องเคล็ดลับ ผมอยากจะชวนคุณมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ทำไมเราถึงต้องต่อรองหนี้?” บางคนอาจจะคิดว่า “ก็เป็นหนี้ ก็ต้องจ่ายไปสิ จะไปต่อรองอะไรได้?” ใช่ครับ การชำระหนี้เป็นหน้าที่ของเรา แต่ในสถานการณ์ที่ชีวิตมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป การต่อรองหนี้ก็เหมือนกับการ “หาทางออกที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย” ทั้งเราที่เป็นลูกหนี้ และเจ้าหนี้เองก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

สถานการณ์แบบไหนที่เราควร “ลุย” ต่อรองหนี้?

  • รายได้เจ้ากรรม… ดันมาลดลง: เคยไหมครับ? ช่วงเศรษฐกิจดีๆ เราก็ผ่อนหนี้สบายๆ แต่พอเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทลดเงินเดือน โบนัสหาย โอทีไม่มี… รายได้มันก็เลย “หด” ตามไปด้วย แต่ภาระหนี้เนี่ยสิครับ มันไม่เคยลดลงตามเลย แถมบางทีค่าครองชีพยังสูงขึ้นอีกต่างหาก แบบนี้แหละครับ คือสัญญาณเตือนว่า “ถึงเวลาต้องคุยกับเจ้าหนี้แล้ว”
  • ค่าใช้จ่ายจำเป็น… ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด: ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละครับ ไม่เคยมีอะไรแน่นอน วันดีคืนดี อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันโผล่มา เช่น คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาล รถที่ใช้ทำมาหากินดันมาเสีย หรือลูกน้อยสุดที่รักอยากเรียนพิเศษเพิ่ม… ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มัน “จำเป็น” จริงๆ และมันก็ทำให้เงินที่เราเคยมีไว้จ่ายหนี้ “ร่อยหรอ” ลงไป แบบนี้ก็ต้องรีบ “เจรจา” กับเจ้าหนี้แล้วล่ะครับ
  • ดอกเบี้ยโหด… ผ่อนเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที: บางทีเราก็เผลอไปกู้หนี้ที่ดอกเบี้ยสูงลิ่วมาใช่ไหมครับ? ผ่อนไปเท่าไหร่ๆ เงินต้นก็ไม่ลดลงสักที ส่วนใหญ่กลายเป็นดอกเบี้ยหมด… ถ้าคุณกำลังเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมบอกเลยว่า “อย่าทน” ครับ การต่อรองเพื่อ “ขอลดดอกเบี้ย” หรือ “เปลี่ยนประเภทหนี้” เป็นสิ่งที่เราทำได้ และควรทำด้วยซ้ำ
  • กลัวประวัติเสีย… ไม่อยากผิดนัดชำระหนี้: เข้าใจเลยครับว่าไม่มีใครอยากเสียเครดิตทางการเงิน เพราะมันมีผลกระทบต่อชีวิตเราในระยะยาวมากๆ ถ้าคุณรู้ตัวว่าเริ่ม “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” และอาจจะต้องผิดนัดชำระหนี้ในไม่ช้า การ “เข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ก่อน” ที่จะเกิดปัญหา จะช่วยให้เรา “รักษาสถานการณ์” ไว้ได้ และอาจจะหาทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้หนี้เสียไปเลยก็ได้ครับ

ต่อรองหนี้แล้ว… ชีวิตดีขึ้นยังไง? (ประโยชน์ที่มากกว่าแค่ “ลดหนี้”)

  • ภาระหนี้เบาลง… เหมือนยกภูเขาออกจากอก: ลองนึกภาพตามนะครับ จากที่เคยต้องจ่ายหนี้เดือนละเป็นหมื่นๆ พอต่อรองสำเร็จ อาจจะเหลือแค่หลักพัน หรือจากที่เคยต้องจ่ายดอกเบี้ย 20% อาจจะเหลือแค่ 10%… ภาระหนี้ที่ลดลง มันเหมือนเราได้ “หายใจคล่อง” ขึ้นเยอะเลยนะครับ
  • ยืดเวลาผ่อน… หายใจหายคอได้ยาวขึ้น: การต่อรองเพื่อ “ขอยืดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้” มันเหมือนกับการ “ยืดเวลาให้เราตั้งตัว” ค่างวดต่อเดือนมันก็จะลดลง ทำให้เรามีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น เอาเงินส่วนต่างไปใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นอื่นๆ ได้
  • ไม่ต้องกลัวหมายศาล… สบายใจขึ้นเยอะ: การผิดนัดชำระหนี้มากๆ เข้า อาจจะนำไปสู่การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวและเสียเวลามากๆ การต่อรองหนี้ให้สำเร็จ จะช่วย “หลีกเลี่ยง” ปัญหาเหล่านี้ได้ ทำให้เราไม่ต้องนอนผวา ไม่ต้องกังวลว่าจะมีจดหมายทวงหนี้มาส่งถึงบ้าน
  • เครดิตดี… ชีวิตก็ดีตาม: อย่างที่บอกไปครับ เครดิตทางการเงินมันสำคัญมากๆ ถ้าเราต่อรองหนี้สำเร็จ และยังสามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลงใหม่ เครดิตของเราก็จะ “ไม่เสีย” และในระยะยาว มันจะส่งผลดีต่อการขอสินเชื่ออื่นๆ ในอนาคตด้วย
  • ความเครียดลดลง… สุขภาพจิตดีขึ้น: เรื่องหนี้สินนี่มันบั่นทอนจิตใจมากๆ เลยนะครับ นอนไม่หลับ กินไม่ได้ เครียดจนปวดหัว… พอเรา “จัดการปัญหาหนี้สิน” ได้ ชีวิตมันก็จะ “สงบ” ขึ้นเยอะ ความเครียดลดลง สุขภาพจิตก็ดีขึ้นตามไปด้วย

เตรียมตัวก่อนต่อรองหนี้: ขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

เอาล่ะครับ พอเห็นประโยชน์ของการต่อรองหนี้กันแล้วใช่ไหมครับ? ทีนี้เรามาดูกันว่า ก่อนที่เราจะไป “ลุย” เจรจาต่อรองหนี้กับเจ้าหนี้ เราต้อง “เตรียมตัว” อะไรบ้าง? การเตรียมตัวที่ดี เปรียบเหมือนการติดอาวุธให้พร้อมก่อนออกรบ โอกาสชนะก็จะสูงขึ้นครับ

1. ประเมินสถานการณ์หนี้สินของตัวเอง… แบบ “ละเอียด ยิบ”

  • รวบรวมข้อมูลหนี้… ให้ครบทุกเม็ด: ขั้นแรกเลยนะครับ เราต้องรู้ก่อนว่าเรามีหนี้อะไรบ้าง? ยอดหนี้แต่ละก้อนเท่าไหร่? อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่? ค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่? เจ้าหนี้แต่ละรายเป็นใคร? ลอง “ลิสต์” ออกมาเป็นข้อๆ เลยครับ จะได้เห็นภาพรวมชัดเจน
  • วิเคราะห์รายรับ-รายจ่าย… แบบ “เปิดอกคุยกับตัวเอง”: ลองมานั่ง “ทำบัญชี” รายรับรายจ่ายดูครับ ว่าแต่ละเดือนเรามีเงินเข้าเท่าไหร่? มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? แล้วเหลือเงินจริงๆ ที่จะเอาไปจ่ายหนี้ได้เดือนละเท่าไหร่? ขั้นตอนนี้อาจจะ “เจ็บปวด” หน่อยนะครับ เพราะเราอาจจะต้องเห็นตัวเลขที่ไม่สวยงามนัก แต่ “ความจริงใจกับตัวเอง” นี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา
  • จัดลำดับความสำคัญของหนี้… เหมือน “จัดบ้าน”: พอเรารู้ข้อมูลหนี้ทั้งหมดแล้ว ลองมา “จัดลำดับความสำคัญ” ของหนี้แต่ละก้อนดูครับ หนี้ไหนที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด? หนี้ไหนที่ถ้าผิดนัดแล้วจะส่งผลกระทบกับชีวิตเรามากที่สุด? หนี้ไหนที่เจ้าหนี้ “โหด” ที่สุด? การจัดลำดับความสำคัญ จะช่วยให้เรา “โฟกัส” ได้ถูกจุด ว่าเราควรจะไปต่อรองหนี้ก้อนไหนก่อน

2. รวบรวมเอกสาร… เหมือน “เตรียมกระสุน”:

  • เอกสารแสดงรายได้… ยืนยัน “ความสามารถในการจ่าย”: เจ้าหนี้เค้าอยากรู้ว่าเรามี “ปัญญา” จ่ายหนี้คืนเค้าได้จริงไหม? เอกสารแสดงรายได้นี่แหละครับ คือ “ใบเบิกทาง” ที่สำคัญ เตรียมสลิปเงินเดือนล่าสุด หนังสือรับรองรายได้จากบริษัท หรือ Statement บัญชีธนาคารย้อนหลัง (ถ้าทำธุรกิจส่วนตัว) ให้พร้อมเลยครับ
  • เอกสารหนี้สิน… ยืนยัน “ตัวตน” ลูกหนี้: เตรียมสัญญาเงินกู้ ใบแจ้งหนี้ หรือรายการเดินบัญชีหนี้ต่างๆ เอกสารเหล่านี้จะช่วยยืนยันว่าเราเป็น “ลูกหนี้ตัวจริง” และมีหนี้สินอยู่กับเจ้าหนี้รายนั้นๆ จริงๆ
  • เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง… “เสริม” ความน่าเชื่อถือ: ถ้าเรามีเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเงินของเรา เช่น หนังสือแจ้งเตือนหนี้จากเจ้าหนี้ (ถ้ามี) หรือเอกสารทางการแพทย์ที่แสดงว่าเรามีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น (ถ้ามี) ก็เตรียมไปด้วยครับ มันจะช่วย “เพิ่มน้ำหนัก” ให้การเจรจาของเรามากขึ้น

3. ตั้งเป้าหมายในการต่อรอง… เหมือน “วางแผนรบ”:

  • อยากได้อะไรจากการต่อรอง? (เป้าหมายต้อง “ชัด”): ก่อนจะไปคุยกับเจ้าหนี้ เราต้อง “ตั้งเป้าหมาย” ให้ชัดเจนก่อนครับ ว่าเราอยากจะได้อะไรจากการต่อรองครั้งนี้? อยากขอลดดอกเบี้ยลงเท่าไหร่? อยากขอลดยอดหนี้เงินต้น (Haircut) ได้ไหม? อยากขอยืดระยะเวลาผ่อน หรือลดค่างวดลงเท่าไหร่? ยิ่งเป้าหมายของเรา “ชัดเจน” เท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเจรจาต่อรองได้ตรงจุดมากขึ้นเท่านั้น
  • เป้าหมายต้อง “สมเหตุสมผล” และ “เป็นไปได้” (อย่าเพ้อฝัน): การตั้งเป้าหมายที่ดี คือเป้าหมายที่ “สมเหตุสมผล” และ “เป็นไปได้” ในสถานการณ์ของเรา อย่าตั้งเป้าหมายที่ “เพ้อฝัน” เกินไป เช่น อยากขอลดหนี้ 90% โดยที่สถานการณ์ของเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะมันอาจจะทำให้เจ้าหนี้มองว่าเรา “ไม่จริงใจ” และการเจรจาอาจจะไม่ราบรื่น
  • เป้าหมายต้อง “ยืดหยุ่น” ได้ (เผื่อแผนสำรอง): ในการเจรจาต่อรองจริงๆ เราอาจจะไม่ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ 100% ดังนั้น เราต้องเตรียม “แผนสำรอง” ไว้ด้วย เช่น ถ้าขอลดดอกเบี้ยไม่ได้ อาจจะลองขอยืดระยะเวลาผ่อนแทน หรือถ้าขอลดยอดหนี้เงินต้นไม่ได้ อาจจะลองขอพักชำระหนี้ชั่วคราวแทน การมีแผนสำรอง จะช่วยให้เรา “รับมือ” กับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น

4. ศึกษาข้อมูลของเจ้าหนี้… เหมือน “สืบข้อมูลคู่ต่อสู้”:

  • เจ้าหนี้ “ประเภท” ไหน? (ธนาคาร? นอนแบงก์? บัตรเครดิต?): เจ้าหนี้แต่ละประเภท เค้าก็มี “นโยบาย” และ “สไตล์” การทำงานที่แตกต่างกัน เช่น ธนาคารอาจจะมีระเบียบเยอะหน่อย แต่ก็อาจจะมีความน่าเชื่อถือสูง ส่วนนอนแบงก์ หรือบัตรเครดิต อาจจะ “ยืดหยุ่น” กว่า แต่ดอกเบี้ยก็อาจจะสูงกว่าด้วย การรู้ “ประเภท” ของเจ้าหนี้ จะช่วยให้เรา “ปรับกลยุทธ์” ในการเจรจาได้เหมาะสม
  • นโยบายช่วยเหลือลูกหนี้… มีอะไรบ้าง? (โครงการช่วยเหลือต่างๆ): เจ้าหนี้หลายๆ ราย เค้าก็มี “โครงการช่วยเหลือลูกหนี้” ต่างๆ นะครับ เช่น โครงการพักชำระหนี้ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ โครงการลดดอกเบี้ย… ลอง “สืบ” ดูครับ ว่าเจ้าหนี้ที่เราเป็นหนี้อยู่ เค้ามีโครงการอะไรบ้าง? แล้วเราเข้าข่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือไหม? ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากเว็บไซต์ของเจ้าหนี้ หรือโทรไปสอบถาม Call Center ก็ได้ครับ
  • ช่องทางการติดต่อ… “ตัวจริง” เสียงจริง: เวลาจะติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาต่อรองหนี้ สิ่งสำคัญคือต้องติดต่อผ่าน “ช่องทางที่ถูกต้อง” เช่น Call Center ของเจ้าหนี้โดยตรง สาขาของเจ้าหนี้ หรืออีเมลที่เจ้าหน้าที่เค้าให้ไว้ อย่าไปติดต่อผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ หรือคนที่เราไม่รู้จัก เพราะอาจจะโดน “มิจฉาชีพ” หลอกเอาได้

เคล็ดลับการต่อรองหนี้ที่คนไม่ค่อยรู้: เพิ่มโอกาสสำเร็จในการเจรจา

มาถึง “ทีเด็ด” ของบทความนี้แล้วครับ! เคล็ดลับการต่อรองหนี้ที่ผมรวบรวมมาให้เนี่ย รับรองว่า “เด็ดจริง” และ “ใช้ได้ผลจริง” ถ้าคุณเอาไปลองปรับใช้ ผมเชื่อว่าโอกาสที่คุณจะต่อรองหนี้สำเร็จ จะ “เพิ่มขึ้น” อีกเยอะเลยครับ

1. ติดต่อเจ้าหนี้ “โดยตรง” และ “ขอ” เจรจาอย่างเป็นทางการ (ไม่หนี ไม่หาย):

  • อย่า “หลบหน้า” เจ้าหนี้… แสดงความรับผิดชอบ: สิ่งที่ “แย่ที่สุด” ในการแก้ปัญหาหนี้สิน คือการ “หนีปัญหา” การไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบจดหมาย ไม่จ่ายหนี้… มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยนะครับ ตรงกันข้าม มันจะทำให้สถานการณ์ “แย่ลง” ไปอีก สิ่งที่ควรทำคือ “กล้าเผชิญหน้า” ติดต่อเจ้าหนี้ไปเลยครับ แสดงให้เค้าเห็นว่าเรา “รับผิดชอบ” และ “ตั้งใจ” ที่จะแก้ปัญหาจริงๆ
  • ทำหนังสือ “เป็นลายลักษณ์อักษร” แจ้งความประสงค์ (มีหลักฐาน): การโทรศัพท์ไปคุย อาจจะไม่พอครับ เพื่อความเป็นทางการ และ “มีหลักฐาน” เราควรทำหนังสือ “เป็นลายลักษณ์อักษร” แจ้งความประสงค์ขอเจรจาต่อรองหนี้ ในหนังสือก็เขียนรายละเอียดไปครับ ว่าเราเป็นใคร เป็นหนี้อะไร อยู่ในสถานการณ์แบบไหน และอยากจะขอเจรจาเรื่องอะไรบ้าง ส่งหนังสือไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรืออีเมล ก็ได้ครับ เก็บหลักฐานการส่งไว้ด้วย
  • ติดต่อผ่าน “ช่องทางที่ถูกต้อง” (Call Center, สาขา, อีเมล): อย่างที่บอกไปครับ ต้องติดต่อเจ้าหนี้ผ่าน “ช่องทางที่ถูกต้อง” สอบถามจากเว็บไซต์ของเจ้าหนี้ หรือ Call Center ก็ได้ครับ ว่าช่องทางไหนเป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจรจาต่อรองหนี้

2. เข้าใจ “ประเภท” ของหนี้ และ “ลักษณะ” ของเจ้าหนี้ (รู้เขารู้เรา):

  • หนี้มีหลักประกัน vs. หนี้ไม่มีหลักประกัน (อำนาจต่อรอง “ไม่เท่ากัน”): หนี้ “มีหลักประกัน” เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ เจ้าหนี้เค้ามีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ ถ้าเราไม่จ่ายหนี้ เค้าก็สามารถยึดบ้าน ยึดรถเราไปขายทอดตลาดได้ ดังนั้น อำนาจต่อรองของเราในหนี้ประเภทนี้ อาจจะ “น้อยกว่า” หนี้ “ไม่มีหลักประกัน” เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ในหนี้ประเภทนี้ เจ้าหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อำนาจต่อรองของเราก็เลย “มากกว่า” หน่อย เพราะถ้าเราไม่จ่ายหนี้ เค้าก็ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องดำเนินคดี
  • เจ้าหนี้แต่ละประเภท “ยืดหยุ่น” ไม่เหมือนกัน (ธนาคาร vs. นอนแบงก์ vs. บัตรเครดิต): ธนาคารพาณิชย์ อาจจะมีระเบียบเยอะหน่อย แต่ก็อาจจะ “ใจดี” กว่าในเรื่องการลดดอกเบี้ย หรือยืดระยะเวลาผ่อน นอนแบงก์ หรือบริษัทบัตรเครดิต อาจจะ “ยืดหยุ่น” กว่าในเรื่องเงื่อนไข แต่ดอกเบี้ยก็อาจจะสูงกว่า บริษัทรับทวงหนี้ ที่ซื้อหนี้เสียไปแล้ว อาจจะ “โหด” กว่า แต่ก็อาจจะยอม “ลดหนี้” ให้เยอะกว่า เพื่อให้ได้เงินคืนเร็วๆ การรู้ “ลักษณะ” ของเจ้าหนี้ จะช่วยให้เรา “ปรับกลยุทธ์” ในการเจรจาได้เหมาะสม
  • หนี้เสียที่ขายให้บริษัทรับทวงหนี้แล้ว (อาจมี “เงื่อนไขพิเศษ”): ถ้าหนี้ของเรากลายเป็น “หนี้เสีย” และถูกขายให้กับบริษัทรับทวงหนี้ไปแล้ว อย่าเพิ่งตกใจนะครับ จริงๆ แล้ว บริษัทรับทวงหนี้เหล่านี้ เค้าอาจจะ “ยอมลดหนี้” ให้เรามากกว่าเจ้าหนี้เดิมด้วยซ้ำ เพราะเค้าซื้อหนี้มาในราคาถูก เค้ายอมได้กำไรน้อยหน่อย แต่ขอให้ได้เงินคืนเร็วๆ ลอง “สอบถาม” เงื่อนไขพิเศษจากบริษัทรับทวงหนี้ดูครับ อาจจะมีทางออกที่ดีกว่าที่เราคิด

3. เสนอแผนชำระหนี้ “เป็นไปได้จริง” และแสดง “ความตั้งใจจริง” (ไม่ใช่แค่ “ลมปาก”):

  • เสนอค่างวดที่เรา “จ่ายได้จริง” (ไม่ใช่แค่ “อยากจ่าย”): เวลาเราเสนอแผนชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเสนอตัวเลขค่างวดที่เรา “จ่ายได้จริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่เรา “อยากจ่าย” หรือ “คิดว่าน่าจะจ่ายได้” เจ้าหนี้เค้าดูออกครับ ว่าเราจริงใจแค่ไหน ถ้าเราเสนอตัวเลขที่ “ต่ำเกินไป” หรือไม่สมเหตุสมผล เค้าก็อาจจะไม่เชื่อถือเรา
  • แสดงให้เห็นว่า “พยายาม” ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ (ไม่ใช่แค่ “พูด”): ในการเจรจา เราต้องแสดงให้เจ้าหนี้เห็นว่าเรา “พยายามอย่างเต็มที่” ที่จะแก้ปัญหาหนี้สิน เช่น เราพยายาม “ลดรายจ่าย” ที่ไม่จำเป็นลง เราพยายาม “หารายได้เสริม” เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ เราอาจจะแนบเอกสาร หรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของเราไปด้วยก็ได้
  • เสนอ “เงินก้อน” เล็กๆ น้อยๆ (แสดง “ความจริงใจ”): ถ้าเราพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง อาจจะลองเสนอ “เงินก้อน” เล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าหนี้ดูครับ เช่น “ผมมีเงินก้อนอยู่ 5,000 บาท ขอจ่ายให้ก่อนเลยได้ไหมครับ แล้วที่เหลือจะผ่อนจ่ายตามแผนใหม่” การเสนอเงินก้อนเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย มันแสดงให้เห็นถึง “ความจริงใจ” ของเรา ว่าเราไม่ได้แค่ “พูด” แต่เรา “ลงมือทำ” จริงๆ

4. ใช้ “คำพูด” และ “น้ำเสียง” ที่เหมาะสมในการเจรจา (ไม่ใช่ “โวยวาย” หรือ “โทษคนอื่น”):

  • สุภาพ ให้เกียรติเจ้าหน้าที่ (ไม่ใช่ “ตะคอก” หรือ “ใส่อารมณ์”): เวลาคุยกับเจ้าหน้าที่เจ้าหนี้ สิ่งสำคัญคือต้อง “สุภาพ” และ “ให้เกียรติ” เค้า ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึก “ไม่พอใจ” หรือ “เครียด” แค่ไหน ก็ต้อง “ควบคุมอารมณ์” ให้ได้ อย่าไป “ตะคอก” “โวยวาย” หรือ “ใส่อารมณ์” ใส่เจ้าหน้าที่ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม มันจะทำให้เจ้าหน้าที่ “ไม่อยากคุย” กับเรา และการเจรจาก็อาจจะล้มเหลวได้
  • เข้าใจสถานการณ์ของเจ้าหนี้ (ไม่ใช่ “โทษ” ว่าเป็นความผิดของเค้าฝ่ายเดียว): ในการเจรจา เราต้อง “เข้าใจ” สถานการณ์ของเจ้าหนี้ด้วย เค้าก็มีหน้าที่ต้อง “รักษาผลประโยชน์” ขององค์กร เค้าก็อยากได้เงินคืน ดังนั้น เราต้อง “มอง” การเจรจาครั้งนี้ เป็นเหมือน “การหาทางออกร่วมกัน” ไม่ใช่การ “ต่อสู้” หรือ “เอาชนะ” เจ้าหนี้ อย่าไป “โทษ” ว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้าหนี้ฝ่ายเดียว เพราะมันจะทำให้บรรยากาศในการเจรจา “แย่” ลง
  • ใช้คำพูด “สร้างสรรค์” และ “มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา” (ไม่ใช่ “บ่น” หรือ “ตัดพ้อ”): เวลาคุยกับเจ้าหน้าที่เจ้าหนี้ ให้เน้นใช้ “คำพูดที่สร้างสรรค์” และ “มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา” เช่น “ผมอยากจะขอความกรุณา…” “ผมอยากจะขอความช่วยเหลือ…” “ผมอยากจะขอคำแนะนำ…” หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ “บ่น” “ตัดพ้อ” หรือ “แสดงความสิ้นหวัง” เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น และอาจจะทำให้เจ้าหน้าที่ “หมดกำลังใจ” ที่จะช่วยเหลือเราด้วย

5. “ขอความช่วยเหลือ” จากหน่วยงาน หรือผู้เชี่ยวชาญ (มี “ตัวช่วย” อุ่นใจกว่า):

  • คลินิกแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ทางเลือก “ยอดนิยม”): ถ้าคุณมีหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลหลายใบ “คลินิกแก้หนี้” ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นทางเลือกที่ “ยอดเยี่ยม” มากๆ เค้าจะช่วย “รวบหนี้” หลายๆ ก้อนของเรา มาไว้ที่เดียว แล้ว “ปรับโครงสร้างหนี้” ให้ใหม่ โดยที่เราจะได้ “ลดดอกเบี้ย” ลงเยอะ และ “ยืดระยะเวลาผ่อน” ได้นานขึ้น ทำให้ค่างวดต่อเดือนลดลง แถมยัง “ผ่อนจ่ายแค่ที่เดียว” ไม่ต้องปวดหัวกับการจ่ายหนี้หลายๆ ที่
  • หน่วยงานให้คำปรึกษาด้านการเงิน และหนี้สินต่างๆ (มี “กูรู” ช่วยชี้แนะ): ในปัจจุบัน มี “หน่วยงาน” หลายแห่งที่ให้ “คำปรึกษา” ด้านการเงิน และหนี้สิน “ฟรี” เช่น หน่วยงานของภาครัฐ หรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หน่วยงานเหล่านี้ เค้าจะมี “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่พร้อมจะให้คำแนะนำ และช่วยวางแผนการแก้หนี้ให้กับเรา ลอง “ค้นหา” หน่วยงานเหล่านี้ดูครับ อาจจะมีหน่วยงานที่อยู่ใกล้บ้านคุณก็ได้
  • ทนายความ หรือที่ปรึกษาทางการเงิน (ในกรณีหนี้ “ซับซ้อน” จริงๆ): ถ้าหนี้สินของเรา “ซับซ้อน” มากๆ เช่น มีหนี้หลายประเภท มีทรัพย์สินที่ต้องจัดการ หรือมีปัญหาทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง การ “ปรึกษาทนายความ” หรือ “ที่ปรึกษาทางการเงิน” ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เค้าจะช่วย “วิเคราะห์” สถานการณ์ของเราอย่างละเอียด และ “วางแผน” การแก้หนี้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด

6. อย่ากลัวที่จะ “ขอส่วนลด” หรือ “Haircut” อย่างตรงไปตรงมา (กล้าๆ หน่อย):

  • เสนอขอ “ส่วนลด” ยอดหนี้เงินต้น (ถ้ามี “เงินก้อน” พร้อมจ่าย): ถ้าเราพอจะมี “เงินก้อน” เก็บไว้บ้าง อาจจะลอง “เสนอ” ขอ “ส่วนลด” ยอดหนี้เงินต้น (Haircut) จากเจ้าหนี้ดูครับ เช่น “ผมมีเงินก้อนอยู่ 50,000 บาท ถ้าผมจ่ายเงินก้อนนี้ให้เลย ขอส่วนลดหนี้ได้ไหมครับ?” เจ้าหนี้หลายๆ ราย เค้าก็ “ยอม” ลดหนี้ให้บ้าง ถ้าเค้ารู้ว่าเรามีเงินก้อนพร้อมจ่าย เพราะเค้าก็อยากได้เงินคืน “เร็วๆ” ดีกว่าต้องรอผ่อนจ่ายไปเรื่อยๆ
  • อ้างอิงสถานการณ์ “ยากลำบาก” และ “ความตั้งใจ” ชำระหนี้ (เล่าเรื่อง “ให้เห็นใจ”): เวลาขอส่วนลดหนี้ เราต้อง “อธิบาย” สถานการณ์ทางการเงินที่ “ยากลำบาก” ของเราให้เจ้าหนี้ฟัง เช่น “ตอนนี้รายได้ผมลดลงมากจริงๆ ครับ เพราะ…” “ผมมีค่าใช้จ่ายจำเป็นเพิ่มขึ้นมาก…” พร้อมทั้ง “ย้ำ” ความ “ตั้งใจ” ของเราที่จะชำระหนี้ “ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยากลำบาก แต่ผมก็ยังอยากจะชำระหนี้ให้ครบถ้วน…” การเล่าเรื่องให้เห็นใจ จะช่วยให้เจ้าหนี้ “เห็นใจ” และ “พิจารณา” ข้อเสนอของเรามากขึ้น
  • เจ้าหนี้อาจ “ยอมลดหนี้” บ้าง (เพื่อให้ได้เงินคืน “บางส่วน” ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย): จำไว้เสมอว่า เจ้าหนี้เค้าก็อยากได้เงินคืน “บางส่วน” ดีกว่า “ไม่ได้อะไรเลย” ถ้าเค้ารู้ว่าเรา “ไม่มี” จริงๆ หรือ “มี” แต่ “น้อย” เค้าก็อาจจะ “ยอมลดหนี้” ให้บ้าง เพื่อให้ได้เงินคืนมาบ้าง ดีกว่าต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องดำเนินคดี แล้วสุดท้ายก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย

7. เมื่อตกลงกันได้ ต้องยืนยัน “ข้อตกลง” เป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ (กัน “พลาด” กัน “ลืม”):

  • ขอเอกสารยืนยัน “ข้อตกลงประนอมหนี้” (มีหลักฐาน “สำคัญ”): ถ้าการเจรจาต่อรองของเรา “สำเร็จ” และเจ้าหนี้ยอมรับข้อเสนอของเรา สิ่งที่ต้องทำ “ทันที” คือ “ขอเอกสารยืนยันข้อตกลงประนอมหนี้” จากเจ้าหนี้ เอกสารนี้จะเป็น “หลักฐาน” สำคัญ ที่ยืนยันว่าเราได้ตกลงกับเจ้าหนี้แล้ว ว่าจะชำระหนี้กันด้วยเงื่อนไขใหม่
  • อ่านรายละเอียด “ข้อตกลง” ให้ถี่ถ้วน (ก่อน “เซ็น” ชื่อ): ก่อนที่จะ “ลงนาม” ในเอกสารข้อตกลง ต้อง “อ่าน” รายละเอียด “ทุกบรรทัด” ให้ถี่ถ้วน ทำความเข้าใจเงื่อนไข “ทั้งหมด” ให้ชัดเจน เช่น ยอดหนี้ที่ลดลง ดอกเบี้ยใหม่ ค่างวดใหม่ ระยะเวลาผ่อนชำระใหม่ ถ้ามีข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจตรงไหน ให้ “สอบถาม” เจ้าหน้าที่ให้เคลียร์ก่อน
  • เก็บเอกสาร “ข้อตกลง” ไว้เป็นหลักฐาน (กัน “ปัญหา” ในอนาคต): หลังจากลงนามในเอกสารข้อตกลงแล้ว ต้อง “เก็บ” เอกสาร “ตัวจริง” ไว้เป็น “หลักฐาน” อย่างดี เผื่อว่าในอนาคตมีปัญหา หรือข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เราจะได้มีเอกสารนี้ไว้ยืนยัน

8. เตรียม “แผนสำรอง” และ “รับมือ” กับการ “ปฏิเสธ” (ไม่ “ยอมแพ้” ง่ายๆ):

  • เจ้าหนี้อาจ “ไม่ยอมรับ” ข้อเสนอในครั้งแรก (อย่าเพิ่ง “ท้อแท้”): ในการเจรจาต่อรองหนี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะ “สำเร็จ” ตั้งแต่ครั้งแรก เจ้าหนี้อาจจะ “ไม่ยอมรับ” ข้อเสนอของเรา หรืออาจจะ “ต่อรอง” กลับมา “อย่าเพิ่งท้อแท้” นะครับ การเจรจาต่อรอง มันต้องใช้เวลา และความอดทน
  • ลอง “ปรับแผน” เสนอ “เงื่อนไขใหม่” หรือ “ขอเจรจาอีกครั้ง” (มี “ลูกล่อลูกชน”): ถ้าเจ้าหนี้ไม่ยอมรับข้อเสนอแรกของเรา ลอง “กลับมาทบทวน” สถานการณ์ของเราอีกครั้ง “ปรับแผน” การชำระหนี้ใหม่ เสนอ “เงื่อนไขใหม่” ที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น หรือ “ขอเจรจาอีกครั้ง” กับเจ้าหน้าที่คนเดิม หรือเจ้าหน้าที่คนใหม่ การเจรจาต่อรอง มันเหมือนกับการ “เล่นเกม” ต้องมี “ลูกล่อลูกชน” ต้องรู้จัก “พลิกแพลง” กลยุทธ์
  • หาก “ไม่สำเร็จ” จริงๆ อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่นๆ (รีไฟแนนซ์, ขายทรัพย์สิน): ถ้าเราพยายามเจรจาต่อรองหนี้อย่างเต็มที่แล้ว แต่ “ไม่สำเร็จ” จริงๆ ก็ “อย่าเพิ่งหมดหวัง” นะครับ ยังมี “ทางเลือกอื่นๆ” อีก เช่น การ “รีไฟแนนซ์” หนี้ (รวมหนี้หลายก้อน เป็นก้อนเดียว แล้วผ่อนจ่ายกับสถาบันการเงินใหม่) หรือการ “ขายทรัพย์สิน” บางส่วน เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ ทางเลือกเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าการปล่อยให้หนี้เสียไปเรื่อยๆ

9. “รักษาความสัมพันธ์” ที่ดีกับเจ้าหนี้ (ไม่ว่าจะ “สำเร็จ” หรือ “ไม่สำเร็จ”):

  • การเจรจาต่อรอง คือ “การสื่อสาร” เพื่อหาทางออกร่วมกัน (ไม่ใช่ “สงคราม”): จำไว้เสมอว่า การเจรจาต่อรองหนี้ มันคือ “การสื่อสาร” เพื่อ “หาทางออกร่วมกัน” ระหว่างเรากับเจ้าหนี้ ไม่ใช่ “สงคราม” ที่เราต้อง “เอาชนะ” เจ้าหนี้ให้ได้ ดังนั้น ในการเจรจา เราต้อง “เปิดใจ” รับฟังความคิดเห็นของเจ้าหนี้ และ “แสดงความเข้าใจ” ในสถานการณ์ของเค้าด้วย
  • รักษาความสัมพันธ์ที่ดี อาจเป็นประโยชน์ในการ “ขอความช่วยเหลือ” อื่นๆ ในอนาคต (เผื่อ “วันหน้า” มีเรื่องต้อง “รบกวน”): ถึงแม้ว่าการเจรจาต่อรองหนี้ในครั้งนี้ อาจจะ “ไม่สำเร็จ” ตามที่เราหวังไว้ แต่การ “รักษาความสัมพันธ์ที่ดี” กับเจ้าหนี้ไว้ ก็ยังเป็นสิ่งที่มี “ประโยชน์” ในระยะยาว เพราะในอนาคต เราอาจจะมีเรื่องต้อง “รบกวน” ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้อีก เช่น ขอสินเชื่อใหม่ ขอปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ในอนาคต ถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหนี้ โอกาสที่เราจะได้รับความช่วยเหลือก็จะ “มากขึ้น”
  • หากต่อรองไม่สำเร็จ ก็ยังสามารถ “สอบถามแนวทางช่วยเหลืออื่นๆ” จากเจ้าหนี้ได้ (เผื่อมี “ทางออก” ที่เรายังไม่รู้): ถึงแม้ว่าการต่อรองหนี้ในครั้งนี้ จะไม่สำเร็จ ก็ “อย่าเพิ่งหมดหวัง” นะครับ ลอง “สอบถาม” เจ้าหน้าที่เจ้าหนี้ดูครับ ว่าเค้ามี “แนวทางช่วยเหลืออื่นๆ” ให้กับลูกหนี้ที่ประสบปัญหาทางการเงินอีกบ้างไหม? เช่น โครงการพักชำระหนี้ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ โครงการให้คำปรึกษาทางการเงิน บางทีเจ้าหนี้อาจจะมี “ทางออก” ที่เรายังไม่รู้ และพร้อมที่จะ “ช่วยเหลือ” เราอยู่ก็ได้

ข้อควรระวังในการต่อรองหนี้: สิ่งที่ไม่ควรทำ และสิ่งที่ต้องระวัง

ก่อนจะจบ บทความนี้ ผมอยากจะฝาก “ข้อควรระวัง” ในการต่อรองหนี้ไว้สักหน่อยนะครับ เพราะในการแก้ปัญหาหนี้สิน มันก็มี “หลุมพราง” และ “มิจฉาชีพ” ที่เราต้องระวังตัวให้ดี

1. อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว “มากเกินไป” หรือ “ที่ไม่จำเป็น” (ระวัง “มิจฉาชีพ” แฝงตัว):

  • ระวังการให้ข้อมูล “ละเอียดอ่อน” (รหัสบัตรประชาชน, รหัส OTP): เวลาคุยกับเจ้าหน้าที่เจ้าหนี้ “อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว” ที่ “ละเอียดอ่อน” มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รหัสบัตรประชาชน” “รหัส OTP” หรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ที่ “ไม่จำเป็น” เพราะข้อมูลเหล่านี้ อาจจะถูกนำไปใช้ในทางที่ “ไม่ดี” ได้
  • เจ้าหน้าที่ทวงหนี้ “จริง” จะไม่ขอข้อมูลเหล่านี้ (สังเกต “พิรุธ”): เจ้าหน้าที่ทวงหนี้ “จริง” เค้า “จะไม่ขอ” ข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้จากเรา ถ้ามีใครโทรมาทวงหนี้ แล้ว “ขอ” ข้อมูลเหล่านี้ ให้ “สงสัย” ไว้ก่อนเลยครับ ว่าอาจจะเป็น “มิจฉาชีพ”
  • หากสงสัยว่าเป็น “มิจฉาชีพ” ให้ “ตรวจสอบข้อมูล” เจ้าหนี้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ (เช็คให้ “ชัวร์”): ถ้าเรา “สงสัย” ว่าคนที่โทรมาทวงหนี้ เป็น “มิจฉาชีพ” ให้ “ตรวจสอบข้อมูล” ของเจ้าหนี้จาก “แหล่งที่เชื่อถือได้” เช่น เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เว็บไซต์ของสถาบันการเงิน หรือโทรไปสอบถาม Call Center ของเจ้าหนี้โดยตรง เพื่อ “ยืนยัน” ว่าคนที่ติดต่อมา เป็นเจ้าหน้าที่ของเจ้าหนี้จริงหรือไม่

2. ระวัง “มิจฉาชีพ” แอบอ้างเป็นเจ้าหนี้ หรือเสนอ “แผนหลอกลวง” (อย่า “หูเบา”):

  • ตรวจสอบ “ชื่อ” “หน่วยงาน” “ช่องทางการติดต่อ” ของเจ้าหนี้ให้ถูกต้อง (เช็คให้ “ละเอียด”): มิจฉาชีพสมัยนี้ เค้า “ฉลาด” ขึ้นเยอะนะครับ เค้าอาจจะ “แอบอ้าง” เป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินต่างๆ แล้วโทรมาทวงหนี้ หรือเสนอ “แผนปลดหนี้” ที่ฟังดูดีเกินจริง ดังนั้น ก่อนที่จะ “เชื่อ” อะไร ต้อง “ตรวจสอบ” “ชื่อ” “หน่วยงาน” “ช่องทางการติดต่อ” ของเจ้าหนี้ให้ “ละเอียด” ก่อนเสมอ
  • อย่าหลงเชื่อ “แผนปลดหนี้” ที่ฟังดูดีเกินจริง (ไม่มีอะไร “ฟรี” ในโลกนี้): มิจฉาชีพมักจะใช้ “แผนปลดหนี้” ที่ “ฟังดูดีเกินจริง” มาล่อลวงเหยื่อ เช่น “จ่ายแค่นิดเดียว หนี้หมดเลย” “รับประกันปลดหนี้ 100%” “ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวเราจัดการให้หมด” “อย่าหลงเชื่อ” แผนเหล่านี้เด็ดขาดครับ เพราะ “ไม่มีอะไรฟรี” ในโลกนี้ และ “ไม่มีใคร” สามารถปลดหนี้ให้เราได้ “ง่ายๆ” โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
  • ปรึกษา “ผู้เชี่ยวชาญ” หากไม่แน่ใจในข้อเสนอ (มี “ที่ปรึกษา” อุ่นใจกว่า): ถ้าเรา “ไม่แน่ใจ” ในข้อเสนอที่ได้รับ หรือรู้สึกว่ามัน “น่าสงสัย” ให้ “ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ” เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ทนายความ หรือหน่วยงานให้คำปรึกษาด้านหนี้สิน เค้าจะช่วย “วิเคราะห์” ข้อเสนอ และ “ให้คำแนะนำ” ที่ถูกต้องกับเราได้

3. ทำความเข้าใจ “ข้อกฎหมาย” ที่เกี่ยวข้องกับการทวงหนี้ และการประนอมหนี้ (รู้ “สิทธิ” รู้ “หน้าที่”):

  • พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 (รู้ “สิทธิ” และ “ข้อห้าม” ในการทวงหนี้): กฎหมายฉบับนี้ “คุ้มครอง” ลูกหนี้ และ “ควบคุม” การทวงหนี้ของเจ้าหนี้ เราควรรู้ “สิทธิ” ของเราตามกฎหมายฉบับนี้ เช่น เจ้าหนี้ “ห้าม” ทวงหนี้ “ไม่เป็นเวลา” “ห้าม” ใช้ “คำพูดไม่สุภาพ” “ห้าม” “ข่มขู่” หรือ “ประจาน” ลูกหนี้ การรู้กฎหมาย จะช่วยให้เรา “รู้เท่าทัน” และ “ต่อรอง” กับเจ้าหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่อง “สัญญา” “การผิดนัดชำระหนี้”): กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่ “ครอบคลุม” เรื่องสัญญา และการผิดนัดชำระหนี้ เราควรรู้ “หน้าที่” ของเราในฐานะลูกหนี้ เช่น “หน้าที่” ในการชำระหนี้ตามสัญญา “ผล” ของการผิดนัดชำระหนี้ เช่น การถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัด การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี การรู้กฎหมาย จะช่วยให้เรา “เข้าใจ” สถานการณ์ของเรา และ “ตัดสินใจ” ในการแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างถูกต้อง
  • ความรู้ทางกฎหมาย จะช่วยให้เรา “รู้เท่าทัน” และ “ต่อรอง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (มี “อาวุธ” ทางปัญญา): การมีความรู้ทางกฎหมาย เปรียบเหมือนการมี “อาวุธ” ทางปัญญา มันจะช่วยให้เรา “รู้เท่าทัน” กลโกงของมิจฉาชีพ และ “ต่อรอง” กับเจ้าหนี้ได้อย่าง “มีประสิทธิภาพ” มากขึ้น ดังนั้น “อย่ามองข้าม” เรื่องกฎหมายนะครับ ศึกษาไว้บ้าง ไม่เสียหายแน่นอน

เป็นยังไงกันบ้างครับ? อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว รู้สึก “มีกำลังใจ” ขึ้นบ้างไหมครับ? ผมหวังว่าบทความนี้ จะเป็นเหมือน “แสงสว่าง” เล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ ให้กับคนที่กำลัง “มืดแปดด้าน” กับปัญหาหนี้สินนะครับ

ผมอยากจะย้ำอีกครั้งว่า “การต่อรองหนี้… เป็นสิทธิของเราในฐานะลูกหนี้” และ “มันเป็นทางออกที่เป็นไปได้” จริงๆ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังในตัวเอง “คุณไม่ได้อยู่คนเดียวนะครับ” ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเผชิญปัญหาหนี้สินเหมือนกัน และ “มีทางออกเสมอ” ครับ

สรุปเคล็ดลับสำคัญ ในการต่อรองหนี้ (จำง่าย เอาไปใช้ได้เลย):

  1. ติดต่อเจ้าหนี้ “โดยตรง” และ “ขอ” เจรจาอย่างเป็นทางการ
  2. เข้าใจ “ประเภทหนี้” และ “ลักษณะเจ้าหนี้” เพื่อปรับกลยุทธ์
  3. เสนอแผนชำระหนี้ “เป็นไปได้จริง” และแสดง “ความตั้งใจจริง”
  4. ใช้ “คำพูด” และ “น้ำเสียง” ที่เหมาะสม” ในการเจรจา
  5. “ขอความช่วยเหลือ” จากหน่วยงาน หรือผู้เชี่ยวชาญ
  6. กล้า “ขอส่วนลด” หรือ “Haircut” อย่างตรงไปตรงมา
  7. ยืนยัน “ข้อตกลง” เป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ
  8. เตรียม “แผนสำรอง” และ “รับมือ” กับการ “ปฏิเสธ”
  9. “รักษาความสัมพันธ์” ที่ดีกับเจ้าหนี้

การ “เริ่มต้น” อะไรใหม่ๆ มันยากเสมอ แต่ผมอยากจะ “เชิญชวน” ให้คุณ “เริ่มต้น” ต่อรองหนี้ “ตั้งแต่วันนี้” เลยครับ อย่าปล่อยให้ปัญหาหนี้สิน “กัดกิน” ชีวิตของคุณไปมากกว่านี้ “ลงมือทำ” วันนี้ เพื่อ “ชีวิตที่ดีขึ้น” ในวันหน้านะครับ

(แหล่งข้อมูลอ้างอิง)

  • คลินิกแก้หนี้ by SAM: https://www.คลินิกแก้หนี้.com/ (สมมติว่าเป็น URL ของคลินิกแก้หนี้)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): https://www.bot.or.th/ (สมมติว่าเป็น URL ของ ธปท.)
  • พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558: (ค้นหาจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา หรือเว็บไซต์หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง)

Leave a Reply