ทำไม ESG ถึงสำคัญกับการทำงาน? 5 เหตุผลที่องค์กรและพนักงานต้องใส่ใจ

ทำไม ESG ถึงสำคัญกับการทำงาน? 5 เหตุผลที่องค์กรและพนักงานต้องใส่ใจ
ทำไม ESG ถึงสำคัญกับการทำงาน? 5 เหตุผลที่องค์กรและพนักงานต้องใส่ใจ

ESG ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือ “เรื่องจริง” ของโลกการทำงานยุคใหม่

เคยไหม? ที่รู้สึกว่าโลกเราเปลี่ยนไปเยอะมาก… อากาศร้อนขึ้นทุกปี ภัยธรรมชาติก็ดูจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ ข่าวสารบ้านเมืองก็มีแต่เรื่องความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม แล้วเราในฐานะ “คนทำงาน” ล่ะ จะอยู่รอดและเติบโตในโลกที่ผันผวนแบบนี้ได้อย่างไร?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ESG ผ่านหูมาบ้าง อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของนักลงทุน หรือบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ESG หรือ Environmental, Social, Governance (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) มันใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในโลกของการทำงานยุคปัจจุบัน ที่ ESG ไม่ใช่แค่ “กระแส” ที่มาแล้วก็ไป แต่เป็น “เรื่องจริง” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิง

ESG คืออะไร? ลองนึกภาพง่ายๆ เหมือน “บ้าน” ที่เราอาศัยอยู่ ถ้าบ้านเราไม่แข็งแรง โครงสร้างไม่ดี หลังคารั่ว น้ำไฟไม่สะดวกสบาย ใครจะอยากอยู่? องค์กรก็เหมือนกัน ถ้าองค์กรไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่ดูแลสังคม ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี พนักงานก็ไม่อยากทำงานด้วย ลูกค้าก็ไม่อยากซื้อสินค้าหรือบริการ นักลงทุนก็ไม่อยากลงทุน แล้วองค์กรนั้นจะเติบโตและยั่งยืนได้อย่างไร?

ESG จึงเป็นเหมือน “เข็มทิศ” ที่นำทางองค์กรให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบใน 3 ด้านหลักๆ คือ

  • สิ่งแวดล้อม (Environment): ดูแลโลกของเรา ลดผลกระทบทางลบจากการดำเนินธุรกิจ เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประหยัดพลังงาน จัดการของเสียอย่างเหมาะสม
  • สังคม (Social): ดูแลผู้คนรอบข้าง ทั้งพนักงาน ลูกค้า ชุมชน และสังคมโดยรวม เช่น สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี เป็นธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน สนับสนุนชุมชน
  • ธรรมาภิบาล (Governance): บริหารจัดการองค์กรอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ มีจริยธรรม เช่น ต่อต้านการทุจริต บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า แล้ว ESG มันเกี่ยวอะไรกับการทำงานของเรา? ทำไมองค์กรและพนักงานต้องใส่ใจ? บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ พร้อม 5 เหตุผลสำคัญ ที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า ทำไม ESG ถึงเป็นเรื่องที่ “ต้องรู้” และ “ต้องทำ” ในโลกการทำงานยุคใหม่นี้

เตรียมตัวพบกับ 5 เหตุผล ที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อ ESG ไปตลอดกาล!

เหตุผลที่ 1 องค์กรที่ใส่ใจ ESG คือ “แม่เหล็ก” ดึงดูดคนเก่ง และสร้างความได้เปรียบในระยะยาว

ลองจินตนาการถึงบริษัทสองแห่ง บริษัทแรกคือ “บริษัทเก่าแก่สไตล์เดิม” ที่เน้นแต่ผลกำไร มองข้ามเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ ไม่ดูแลพนักงาน เอาเปรียบลูกค้า อีกบริษัทคือ “บริษัทรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว” ที่ใส่ใจทุกมิติ ESG ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลพนักงานอย่างดี โปร่งใสในการบริหารงาน ถามว่าคุณอยากทำงานที่บริษัทไหนมากกว่ากัน?

แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่คงตอบว่า “บริษัทรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว” เพราะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่าย คนทำงานรุ่นใหม่ไม่ได้มองหาแค่ “เงินเดือน” แต่พวกเขามองหา “คุณค่า” และ “ความหมาย” ในงานที่ทำ พวกเขาอยากทำงานในองค์กรที่ “ดี” ไม่ใช่แค่ “เก่ง” องค์กรที่ใส่ใจ ESG จึงกลายเป็น “แม่เหล็ก” ที่ดึงดูดคนเก่งๆ ที่มีคุณภาพ และรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ

ทำไม ESG ถึงสำคัญต่อ “องค์กร” ในแง่ของความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขัน?

  • ดึงดูดและรักษาพนักงาน: อย่างที่บอกไป คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น พวกเขาอยากทำงานในองค์กรที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรที่ทำ ESG ได้ดี จะสามารถดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ได้ โดยเฉพาะในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง การมี ESG ที่ดีจึงเป็น “แต้มต่อ” ที่สำคัญในการสรรหาและรักษาบุคลากร เรื่องเล่าจาก HR: “เมื่อก่อนเวลาไปสัมภาษณ์งาน คนจะถามเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ แต่เดี๋ยวนี้คำถามยอดฮิตคือ ‘บริษัทมีนโยบาย ESG อะไรบ้าง?’ ‘บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมากแค่ไหน?’ ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ชัดเจน ก็มีสิทธิ์พลาดคนเก่งๆ ไปเลย”
  • ลดความเสี่ยง: โลกเราทุกวันนี้มีความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งความเสี่ยงด้านกฎหมาย (เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น) ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (เช่น ข่าวฉาวเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน) และความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม โรงงานเสียหาย) องค์กรที่ใส่ใจ ESG จะสามารถ “บริหารจัดการความเสี่ยง” เหล่านี้ได้ดีกว่า เพราะมีการวางแผนและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตัวอย่าง: บริษัทที่ใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต หรือภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ: ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจเรื่อง “ความยั่งยืน” มากขึ้น พวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุนสินค้าและบริการจากแบรนด์ที่ “ดีต่อโลก” มากกว่าแบรนด์ที่ “แค่ดี” องค์กรที่ทำ ESG ได้ดี จะสามารถ “สร้างความแตกต่าง” และ “สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ” ได้ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับ ESG สถิติที่น่าสนใจ: ผลสำรวจหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคจำนวนมากยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม
  • เพิ่มประสิทธิภาพ: การทำ ESG ไม่ได้มีแต่ “ต้นทุน” แต่ยังช่วย “ลดต้นทุน” และ “เพิ่มประสิทธิภาพ” ในระยะยาวได้อีกด้วย เช่น การประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร ลดของเสีย จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การดูแลพนักงานให้มีสุขภาพดีและมีความสุข จะช่วยลดอัตราการลาออก และเพิ่มผลผลิต ตัวอย่าง: บริษัทที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาสำนักงาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนครั้งแรก แต่ในระยะยาวจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก และยังเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรอีกด้วย

สรุป: องค์กรที่ใส่ใจ ESG ไม่ใช่แค่ “ทำดี” แต่ยัง “ทำได้ดี” ในระยะยาว เพราะ ESG ช่วยสร้างองค์กรที่ “ยั่งยืน” “น่าดึงดูด” “ลดความเสี่ยง” “สร้างโอกาส” และ “เพิ่มประสิทธิภาพ” ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจยุคใหม่

เหตุผลที่ 2 ทำงานในองค์กร ESG ดีต่อใจยังไง? ชีวิตการทำงานที่มีความหมาย และความสุขที่ยั่งยืน

ลองนึกภาพตัวเองตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึก “ไม่อยากไปทำงานเลย” เพราะที่ทำงานบรรยากาศไม่ดี หัวหน้าไม่แฟร์ เพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัว หรือบริษัทไม่สนใจความเป็นอยู่ของพนักงาน กับอีกวันที่ตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึก “อยากไปทำงานจัง” เพราะที่ทำงานบรรยากาศอบอุ่น หัวหน้าใจดี เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือกัน และบริษัทใส่ใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพนักงาน คุณอยากมีชีวิตการทำงานแบบไหนมากกว่ากัน?

แน่นอนว่าทุกคนอยากมีชีวิตการทำงานแบบที่สอง ซึ่ง ESG นี่แหละคือ “กุญแจสำคัญ” ที่จะสร้าง “สภาพแวดล้อมการทำงาน” ที่ดีต่อใจ “พนักงาน” เพราะ ESG ไม่ได้มองแค่เรื่อง “ผลกำไร” แต่ยังให้ความสำคัญกับ “ผู้คน” ที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กร

ESG ส่งผลดีต่อ “พนักงาน” โดยตรงอย่างไรบ้าง ในแง่ของสภาพแวดล้อมการทำงานและคุณภาพชีวิต?

  • ความรู้สึกมีส่วนร่วม: พนักงานที่ทำงานในองค์กรที่ใส่ใจ ESG จะรู้สึกว่างานที่ทำ “มีความหมาย” มากกว่าแค่การแลกเงินเดือน พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “สิ่งดีๆ ให้โลก” ไม่ว่าจะเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือสังคม หรือการส่งเสริมธรรมาภิบาล ความรู้สึก “มีส่วนร่วม” นี้เองที่จะช่วยเพิ่ม “แรงจูงใจ” และ “ความผูกพัน” ของพนักงานต่อองค์กร เรื่องเล่าจากพนักงาน: “เมื่อก่อนทำงานไปวันๆ ก็แค่ทำตามหน้าที่ แต่พอองค์กรเริ่มทำโครงการ ESG ต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่า โครงการช่วยเหลือชุมชน เรารู้สึกว่างานที่เราทำมันมีคุณค่ามากขึ้น ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อตัวเอง แต่เพื่อสังคมด้วย”
  • ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี: ESG ครอบคลุมเรื่อง “สุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน” อย่างจริงจัง องค์กรที่ใส่ใจ ESG จะให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ และส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงาน นอกจากนี้ ESG ยังครอบคลุมเรื่อง “ความหลากหลายและการยอมรับ” องค์กรที่ทำ ESG ได้ดี จะส่งเสริมความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนรู้สึก “เป็นเจ้าของ” และ “ได้รับการยอมรับ” ตัวอย่าง: บริษัทที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย อาจจะมีการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ จัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลที่เหมาะสม และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • ความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร: ESG ส่งเสริม “วัฒนธรรมองค์กรที่ดี” ที่เน้น “ความโปร่งใส” “การสื่อสาร” และ “การมีส่วนร่วมของพนักงาน” องค์กรที่ทำ ESG ได้ดี จะเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แสดงความคิดเห็น และเสนอแนะแนวทางปรับปรุงองค์กร ซึ่งจะช่วยสร้าง “ความสัมพันธ์ที่ดี” ระหว่างพนักงานกับองค์กร และระหว่างพนักงานด้วยกันเอง เรื่องเล่าจากผู้บริหาร: “เมื่อก่อนเราคิดว่า ESG เป็นเรื่องของฝ่าย CSR แต่พอเราเริ่มนำ ESG มาปรับใช้ในทุกส่วนขององค์กร เราพบว่าพนักงานมีความสุขมากขึ้น มีความสามัคคีกันมากขึ้น และทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
  • ความก้าวหน้าในอาชีพ: ในโลกที่ ESG กำลังมาแรง “ทักษะด้าน ESG” กลายเป็น “ทักษะที่เป็นที่ต้องการ” ในตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ พนักงานที่เข้าใจเรื่อง ESG และมีทักษะที่เกี่ยวข้อง จะมี “โอกาสในการเติบโต” ในสายอาชีพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง การเปลี่ยนสายงาน หรือการได้รับโอกาสใหม่ๆ ในองค์กร แนวโน้มตลาดแรงงาน: หลายบริษัทเริ่มประกาศรับสมัครงานตำแหน่งใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยตรง เช่น ผู้จัดการด้านความยั่งยืน นักวิเคราะห์ ESG หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สรุป: การทำงานในองค์กรที่ใส่ใจ ESG ไม่ใช่แค่ “ได้งาน” แต่คือ “ได้ชีวิตการทำงานที่ดี” เพราะ ESG ช่วยสร้าง “สภาพแวดล้อมการทำงาน” ที่ “ดีต่อใจ” “มีความหมาย” “ปลอดภัย” และ “ส่งเสริมการเติบโต” ของพนักงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน

เหตุผลที่ 3 ไม่ใช่แค่เรื่อง “องค์กร” แต่ “พนักงาน” เองก็ต้องอัปสกิล ESG เพื่อความก้าวหน้าในยุคนี้

ลองคิดดูว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทักษะด้านดิจิทัลอาจจะยังไม่ใช่ “ทักษะจำเป็น” สำหรับทุกคน แต่ในยุคนี้ใครที่ไม่มีทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ก็แทบจะทำงานไม่ได้เลย สถานการณ์เดียวกันกำลังเกิดขึ้นกับ “ทักษะด้าน ESG” เพราะในโลกที่ ESG กลายเป็นเรื่องสำคัญ องค์กรต่างๆ กำลังมองหา “พนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจด้าน ESG” เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ยั่งยืน

ทำไม “พนักงาน” ถึงต้องสนใจ ESG และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง?

  • ตลาดแรงงานต้องการ: อย่างที่บอกไป องค์กรต่างๆ กำลัง “มองหาพนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจด้าน ESG” เพื่อช่วยองค์กรในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าคุณจะทำงานในสายงานไหน ไม่ว่าจะเป็นการตลาด บัญชี วิศวกรรม หรือทรัพยากรบุคคล ความรู้ความเข้าใจด้าน ESG จะช่วย “เพิ่มคุณค่า” ให้กับตัวคุณ และทำให้คุณเป็น “ที่ต้องการ” ในตลาดแรงงาน ประกาศรับสมัครงาน: ลองเข้าไปดูเว็บไซต์หางานต่างๆ จะพบว่ามีตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ ESG เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และหลายตำแหน่งงานทั่วไปก็เริ่มระบุว่า “มีความรู้ความเข้าใจด้าน ESG จะพิจารณาเป็นพิเศษ”
  • สร้างความแตกต่าง: ในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง การมี “ทักษะ ESG” จะช่วย “สร้างความแตกต่าง” ให้กับคุณ ทำให้คุณโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ และเป็น “ตัวเลือกที่น่าสนใจ” สำหรับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG การมีทักษะ ESG จึงเป็นเหมือน “ใบเบิกทาง” สู่โอกาสใหม่ๆ ในสายอาชีพ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้าน HR: “ในยุคนี้แค่เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้อง ‘เก่งและดี’ ด้วย การมีทักษะ ESG จะช่วยให้พนักงานโดดเด่นและเป็นที่ต้องการขององค์กรมากขึ้น”
  • โอกาสในการเติบโต: ESG เป็น “สาขาใหม่” ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมี “โอกาสในการเติบโต” อีกมากในอนาคต พนักงานที่เริ่มเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน ESG ก่อน จะมีโอกาส “ก้าวหน้า” ในสายอาชีพ และเป็น “ผู้นำ” ในด้านนี้ได้ในอนาคต แนวโน้มการเติบโตของตลาด ESG: มีการคาดการณ์ว่าตลาด ESG จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ๆ และโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย
  • ปรับตัวให้ทันโลก: ESG ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” แต่เป็น “ความเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังเกิดขึ้นจริง และจะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม พนักงานที่ “เข้าใจ ESG” จะสามารถ “ปรับตัว” และ “ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ การมีทักษะ ESG จึงเป็นเหมือน “ภูมิคุ้มกัน” ที่ช่วยให้คุณอยู่รอดและเติบโตในโลกการทำงานยุคใหม่ ตัวอย่าง: พนักงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมพลังงาน อาจจะต้องเรียนรู้เรื่องพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับตัวให้เข้ากับทิศทางของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

สรุป: ESG ไม่ใช่แค่เรื่องขององค์กร แต่เป็นเรื่องของ “พนักงานทุกคน” เพราะ ESG คือ “ทักษะแห่งอนาคต” ที่จะช่วยให้คุณ “เป็นที่ต้องการ” “สร้างความแตกต่าง” “เติบโตในสายอาชีพ” และ “ปรับตัวให้ทันโลก” ดังนั้นอย่ารอช้า เริ่มต้นเรียนรู้และพัฒนาทักษะ ESG ตั้งแต่วันนี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโลกการทำงานในอนาคต

เหตุผลที่ 4 เมื่อ ESG กลายเป็น DNA องค์กร: วัฒนธรรมดี ทีมเวิร์คเยี่ยม งานก็ปัง!

ลองนึกภาพองค์กรที่พนักงานทุกคน “มีเป้าหมายเดียวกัน” “ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น” “สื่อสารกันอย่างเปิดเผย” และ “ไว้วางใจกัน” องค์กรแบบนี้แหละคือองค์กรที่มี “วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง” ซึ่ง ESG มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ เพราะ ESG ไม่ใช่แค่ “นโยบาย” แต่เป็น “แนวคิด” และ “คุณค่า” ที่ซึมซับอยู่ใน DNA ขององค์กร

ESG ส่งผลต่อ “วัฒนธรรมองค์กร” และ “การทำงาน” ร่วมกันอย่างไร?

  • ความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม: เมื่อองค์กรมีเป้าหมาย ESG ที่ชัดเจน เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การส่งเสริมความหลากหลาย หรือการต่อต้านการทุจริต พนักงานทุกคนจะ “มีเป้าหมายร่วมกัน” และ “ทำงานร่วมกันเป็นทีม” เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น การมีเป้าหมาย ESG ร่วมกันจะช่วยลด “ความขัดแย้ง” และ “สร้างความสามัคคี” ในองค์กร ตัวอย่าง: บริษัทที่ตั้งเป้าหมายที่จะลดการใช้พลาสติกในสำนักงาน อาจจะจัดกิจกรรมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการคิดค้นและนำเสนอไอเดียในการลดการใช้พลาสติก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม
  • ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ: องค์กรที่ทำ ESG อย่างจริงจัง จะต้อง “โปร่งใส” ในการดำเนินงาน และ “เปิดเผยข้อมูล” ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบ ความโปร่งใสนี้เองที่จะช่วย “สร้างความน่าเชื่อถือ” ให้กับองค์กร ทั้งในสายตาของพนักงาน ลูกค้า นักลงทุน และสังคมโดยรวม เมื่อองค์กรมีความน่าเชื่อถือ พนักงานก็จะ “ไว้วางใจ” องค์กรมากขึ้น และทำงานได้อย่างสบายใจ ตัวอย่าง: บริษัทที่รายงานผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างสม่ำเสมอ และเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนได้รับทราบ จะสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร
  • นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์: การแก้ปัญหาด้าน ESG มักจะต้องใช้ “แนวทางใหม่ๆ” และ “ความคิดสร้างสรรค์” องค์กรที่ส่งเสริม ESG จะเปิดโอกาสให้พนักงาน “คิดนอกกรอบ” “ทดลองสิ่งใหม่ๆ” และ “นำเสนอไอเดีย” เพื่อแก้ปัญหาด้าน ESG ซึ่งจะช่วย “กระตุ้นนวัตกรรม” และ “ความคิดสร้างสรรค์” ในองค์กร ตัวอย่าง: บริษัทที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจจะเปิดเวทีให้พนักงานนำเสนอไอเดียในการพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรและสิ่งแวดล้อม
  • ประสิทธิภาพการทำงาน: วัฒนธรรมองค์กรที่ดี ที่เน้น “ความร่วมมือ” “ความโปร่งใส” “ความน่าเชื่อถือ” และ “นวัตกรรม” จะส่งผลให้ “พนักงานมีความสุข” “มีแรงจูงใจ” และ “ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” เมื่อพนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะ “เติบโต” และ “ประสบความสำเร็จ” ในระยะยาว งานวิจัย: มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี จะมีผลประกอบการที่ดีกว่าองค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี

สรุป: ESG ไม่ใช่แค่เรื่อง “ภายนอก” แต่ยังส่งผลกระทบต่อ “ภายใน” องค์กรด้วย เพราะ ESG ช่วยสร้าง “วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง” ที่เน้น “ความร่วมมือ” “ความโปร่งใส” “นวัตกรรม” และ “ประสิทธิภาพ” ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “การทำงาน” ในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

เหตุผลที่ 5 ESG ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือ “หน้าที่” ของทุกคน: ร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่ไปด้วยกัน

ลองมองไปรอบๆ ตัวเรา โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม (เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางอากาศและน้ำ) ปัญหาทางสังคม (เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความขัดแย้ง) และปัญหาด้านธรรมาภิบาล (เช่น การทุจริต คอร์รัปชัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน) ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “ปัญหาของทุกคน” และ “ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา”

ESG ในมุมมองของ “ความรับผิดชอบ” ต่อสังคมและโลกใบนี้ ทั้งในส่วนของ “องค์กร” และ “พนักงาน”

  • ความรับผิดชอบต่อสังคม: องค์กรและพนักงานไม่ได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ “ธุรกิจ” แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “สังคม” ด้วย องค์กรและพนักงานจึงมี “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ในการดำเนินธุรกิจและใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่สร้างผลกระทบทางลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม หลักการสากล: หลักการ ESG สากลหลายฉบับ เช่น UN Global Compact และ SDGs (Sustainable Development Goals) ต่างก็เน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของภาคธุรกิจในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
  • สร้างผลกระทบเชิงบวก: การทำ ESG ไม่ใช่แค่ “ลดผลกระทบเชิงลบ” แต่ยังสามารถ “สร้างผลกระทบเชิงบวก” ให้กับสังคมและโลกได้อีกด้วย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน การสนับสนุนการศึกษา หรือการส่งเสริมความเท่าเทียม การทำ ESG จึงเป็นเหมือน “พลัง” ที่จะช่วย “เปลี่ยนแปลงโลก” ให้ดีขึ้นได้ ตัวอย่าง: บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีทางการเกษตร จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเกษตรกรรมและสังคมโดยรวม
  • ความภาคภูมิใจ: การทำงานในองค์กรที่ใส่ใจ ESG และการมีส่วนร่วมในกิจกรรม ESG จะทำให้พนักงานรู้สึก “ภาคภูมิใจ” และ “มีคุณค่าในตัวเอง” เพราะพวกเขารู้สึกว่างานที่ทำไม่ได้มีแค่ “ผลประโยชน์ส่วนตัว” แต่ยังมี “ผลประโยชน์ส่วนรวม” ด้วย ความรู้สึกภาคภูมิใจนี้เองที่จะช่วยเพิ่ม “ความสุข” และ “ความหมาย” ในชีวิตการทำงาน ผลสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน: ผลสำรวจหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า พนักงานที่ทำงานในองค์กรที่ใส่ใจ ESG จะมีความพึงพอใจในงานมากกว่าพนักงานที่ทำงานในองค์กรที่ไม่ใส่ใจ ESG
  • อนาคตที่ยั่งยืน: ESG ไม่ใช่แค่เรื่องของวันนี้ แต่เป็นเรื่องของ “อนาคต” ด้วย การทำ ESG คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่ยั่งยืนของทุกคน ทั้งในแง่ธุรกิจและสังคม เพราะโลกที่ยั่งยืน คือโลกที่ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน วิสัยทัศน์เพื่ออนาคต: ผู้นำองค์กรหลายท่านเริ่มออกมาพูดถึงความสำคัญของ ESG ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจและสังคม

สรุป: ESG ไม่ใช่แค่เรื่อง “ธุรกิจ” แต่เป็นเรื่องของ “มนุษยชาติ” เพราะ ESG คือ “ความรับผิดชอบร่วมกัน” ของ “องค์กร” และ “พนักงาน” ในการ “สร้างโลกที่ดีกว่า” เพื่อตัวเราเอง เพื่อคนรุ่นหลัง และเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน

ถึงเวลาที่ “องค์กร” และ “พนักงาน” ต้องจับมือกัน สร้างโลกการทำงานที่ “ESG สำคัญ” อย่างแท้จริง

ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางมาด้วยกัน เพื่อทำความเข้าใจว่า “ทำไม ESG ถึงสำคัญกับการทำงาน?” และได้พบกับ 5 เหตุผลสำคัญ ที่ยืนยันว่า ESG ไม่ใช่แค่ “กระแส” แต่เป็น “เรื่องจริง” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิง

  1. ESG สร้าง “องค์กร” ที่ยั่งยืนและน่าดึงดูด: องค์กรที่ใส่ใจ ESG คือแม่เหล็กดึงดูดคนเก่ง และสร้างความได้เปรียบในระยะยาว
  2. ESG สร้าง “สภาพแวดล้อมการทำงาน” ที่ดีต่อใจ “พนักงาน”: ทำงานในองค์กร ESG ดีต่อใจยังไง? ชีวิตการทำงานที่มีความหมาย และความสุขที่ยั่งยืน
  3. ESG คือ “ทักษะแห่งอนาคต” ที่ “พนักงาน” ทุกคนต้องมี: ไม่ใช่แค่เรื่อง “องค์กร” แต่ “พนักงาน” เองก็ต้องอัปสกิล ESG เพื่อความก้าวหน้าในยุคนี้
  4. ESG สร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ที่แข็งแกร่งและ “การทำงาน” ที่มีประสิทธิภาพ: เมื่อ ESG กลายเป็น DNA องค์กร: วัฒนธรรมดี ทีมเวิร์คเยี่ยม งานก็ปัง!
  5. ESG คือ “ความรับผิดชอบ” ร่วมกันของ “องค์กร” และ “พนักงาน” เพื่อโลกที่ดีกว่า: ESG ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือ “หน้าที่” ของทุกคน: ร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่ไปด้วยกัน

ถึงเวลาแล้วที่ “องค์กร” และ “พนักงาน” จะต้อง “จับมือกัน” และ “ลงมือทำ” อย่างจริงจัง เพื่อสร้าง “โลกการทำงานที่ ESG สำคัญ” อย่างแท้จริง องค์กรสามารถเริ่มต้นได้จากการกำหนดนโยบาย ESG ที่ชัดเจน ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลพนักงานอย่างดี และบริหารจัดการองค์กรอย่างโปร่งใส ส่วนพนักงานก็สามารถเริ่มต้นได้จากการเรียนรู้เรื่อง ESG พัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมในกิจกรรม ESG ขององค์กร

ESG ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนในองค์กรต้องใส่ใจ เพราะ ESG ไม่ได้มีแต่ “ต้นทุน” แต่ยัง “สร้างคุณค่า” และ “ผลประโยชน์” มากมายให้กับทั้งองค์กร พนักงาน และสังคมโดยรวม

มาร่วมกันสร้างโลกการทำงานที่ “ESG สำคัญ” เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของเราทุกคน!

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

หมายเหตุ: แหล่งข้อมูลอ้างอิงเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ESG ได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ

Leave a Reply