โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect) เรื่องที่ต้องระวังสำหรับคนลดน้ำหนัก

You are currently viewing โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect) เรื่องที่ต้องระวังสำหรับคนลดน้ำหนัก

โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect) เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่คนที่คิดจะลดน้ำหนักทุกคนต้องทำความเข้าใจก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะทำให้ในระยะยาวแล้วร่างอาจพังและทำให้กลับมาหุ่นสวยได้ยากเย็นขึ้น ซึ่งเราจะมาคุยกันถึงความหมายและสาเหตุเกี่ยวกับสภาวะ โยโย่ เอฟเฟค ก่อนครับว่า

โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect) คืออะไรทำไมคนลดน้ำหนักต้องระวัง

โยโย่ เอฟเฟค คือ ภาวะที่ร่างกายเสียสมดุลในการเผาผลาญพลังงาน จนทำให้น้ำหนักมีการสวิง ขึ้น-ลง อย่างรวดเร็ว ซึ่งคล้ายกับของเล่นที่มี ชื่อว่า Yoyo (โยโย่) นั่นเอง โดยภาวะ โยโย่ เอฟเฟค มักจะเกิดขึ้นกับคนที่พยายามลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี ซึ่งในตอนแรกเราอาจจะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ผอมลงจากวิธีการลดน้ำหนักที่พวกเขาใช้อย่างรวดเร็ว แต่ภายในกระบวนการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีนั้นกลับส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลในการเผาผลาญพลังงาน เช่น เดิมร่างกายมีอัตราการเผาผลาญ หรือ BMR อยู่ที่ 1,500 Kcal เมื่อลดน้ำหนักอย่างผิดวิธีเช่น อดอาหาร ทำให้ต่อวันกินอาหารไปเพียง 800 kcal จนร่างกายจำว่าต้องใช้พลังงานเพียง 800 kcal ทำให้ร่างกายเสียสมดุลในการเผาผลาญ ค่า BMR ตกลงมาอยู่ที่ 800 kcal เมื่อคนนั้นผอมลง แล้วกลับมากินอาหารเหมือนเดิมทำให้คนนั้นกลับมาอ้วนเหมือนเดิม หรืออ้วนมากกว่าเดิมในระยะเวลาไม่นาน นั้นเป็นเพราะว่าตอนนี้ค่าการเผาผลาญอยู่ที่ 800 kcal และที่สำคัญเมื่อจะกลับมาลดน้ำหนักอีกครั้ง กลับผบว่าทำได้ยากกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าระบบเผาผลาญพังไปแล้วล่ะครับหากจะลดน้ำหนักอย่างได้ผลอีกครั้งต้องคำนึงถึงการซ่อมแซมระบบการเผาผลาญให้ดีดังเดิม หรือดีกว่าเดิมเสียก่อน

สาเหตุของ โยโย่ เอฟเฟค (Yoyo Effect)

ส่วนใหญ่ภาวะ โยโย่ เอฟเฟค มักเกิดจาก การลดน้ำหนักแบบผิดวิธี เช่น การใช้ยาลดความอ้วน การอดอาหารแบบผิดวิธี จนผอมลงในที่สุด และเมื่อหยุดใช้วิธีดังกล่าวร่าง ก็ดีดตัวขึ้นมาอ้วนเหมือนเดิม เหมือนลักษณะของโยโย่

การใช้ยาลดน้ำหนัก

ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วนจะมีอยู่ 2 กลุ่ม หลักๆ คือ

1 กลุ่มออกฤทธิ์ที่สมอง

โดยยาลดน้ำหนักกลุ่มนี้ จะไปยับยั้งความอยากอาหาร ทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร ซึ่งในสมัยก่อนจะใช้ “แอมเฟตามีน” เป็นส่วนผสม ปัจจุบันพบได้ในยาเสพติดและพิสูจน์แล้วว่ามีผลเสียต่อร่างกายมากมาย หลังจากนั้นก็มีการผลิตอนุพันธุ์ของยาในกลุ่มนี้ออกมาหลายตัวและถูกถอนออกจากตลาดจนเหลือเพียง 1 ชนิดเท่านั้น เพราะพบว่ามีผลต่อหัวใจและหลอดเลือดของผู้ที่ใช้

2 กลุ่มที่ทำหน้าที่ยับยั้งการดูดซึมไขมันของร่างกาย

ไขมันเป็นสารอาหารประเภทที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสารอาหารประเภทอื่นๆ เมื่อเราใช้ยาลดน้ำหนักประเภทยับยั้งการดูดซึมไขมัน จะทำให้ระบบการดูดซึมและย่อยอาหาร ไม่นำสารอาหารประเภทไขมันเข้าไปในระบบการย่อยสุดท้ายไขมันจะถูกขับถ่ายออกมาในที่สุด หากใช้ยากลุ่มนี้ไปนานๆ ก็จะทำให้ขาดวิตามินบางอย่างที่ต้องใช้ไขมันเป็นตัวช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่ วิตามิน A, D, E, K (วิตามินที่ละลายในไขมัน)

[the_ad id=”854″]

 

ผลจากการใช้ยาลดความอ้วนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ออกฤทธิ์ที่สมอง หรือกลุ่มยับยั้งการดูดซึมไขมัน มักจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพระบบเผาผลาญพลังงานของเรา โดยกลุ่มออกฤทธิ์ที่ประสาทจะไปกดประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มตลอดเวลา จนระบบการเผาผลาญปรับกลไกในร่างกายให้เคยชินกับปริมาณอาหารและปริมาณแคลอรีที่ได้รับ อัตราการเบิร์นลดลง เพราะมีการดึงมวลกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน และเก็บไขมันเอาไว้แทนที่ เมื่อเลิกกินยาลดความอ้วน และกลับมากินอาหารตามปกติ น้ำหนักก็จะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายก็ไม่สามารถกลับมาเผาผลาญเพิ่มขึ้นได้ เพราะมวลกล้ามเนื้อถูกดึงไปใช้เป็นพลังงานขณะที่กินยาลดความอ้วน เหลือไว้เพียงไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเท่านั้น ทั้งนี้ยาลดน้ำหนักในกลุ่มที่ยับยั้งการดูดซึมไขมันก็ส่งผลให้ร่างกายเราเคยชินกับปริมาณแคลลอรี่ที่ร่างกายได้รับเหมือนกัน เช่น กินอาหารเข้าไป 2,000 kcal โดยในอาหารนั้นมีสารอาหารประเภทไขมันอยู่ 1,000 kcal ยาลดน้ำหนักอาจไปยับยั้งการดูดซึมไขมันได้ทั้ง 1,000 kcal แล้วนำไขมันนั้นไปขับทิ้ง หากเราใช้วิธีการนี้ไปนานๆ จะเท่ากับว่าเราได้รับสารอาหารอยู่ที่ 1,000 kcal เมื่อร่างกายจำค่านี้จนอัตราการเบิร์นลดลง ก็ส่งผลเช่นเดียวกับยาลดน้ำหนักกลุ่มแรก

[the_ad id=”854″]

 

อดอาหารส่งผลให้ โยโย่ เอฟเฟค

การอดอาหาร และบวกกับการไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อย และร่างกายใช้พลังงานน้อยลง ส่งผลให้มีการโยโย่ ได้เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะจำศีล เพราะได้รับพลังงานไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวันคล้ายคลึงกับการกินยาลดน้ำหนัก ซึ่งทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ จนอัตราการเผาผลาญลดลง แต่ร่างกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบวกกับการไม่ออกกำลังกาย ทำให้ไม่เกิดกล้ามเนื้อที่เข้าไปช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ อาหารที่รับกินเข้าไป ถูกนำไปสะสมไว้ในรูปของไขมัน ที่ให้พลังงานได้ยาวนานกว่า เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองตามกระบวนการเอาชีวิตรอดของร่างกาย

สิ่งที่ต้องระวังมากๆ อีกอย่างของการอดอาหาร คือ น้ำหนักที่ลดจะเริ่มต้นจากลดน้ำในร่างกาย ส่วนไขมันจะไม่ลด แต่สิ่งที่ลดลงมักเป็นกล้ามเนื้อ ทำให้อัตราการเผาผลาญในร่างกายลดลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญรวน แม้จะกินน้อยลงแค่ไหนการลดน้ำหนักจะยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ โยโย่ เอฟเฟค และในส่วนของยาลดน้ำหนักนอกจากเรื่องโยโย่ เอฟเฟค แล้ว การเสียชีวิตจากการใช้ยายังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ อันนี้ต้องระวังมากๆ นะครับ

https://nutrilite.co.th/th/article/yoyo-effect

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/ยาลดน้ำหนักเป็นยาอันตราย/

Leave a Reply