จุดจบของคำว่า “เทรวม”
ผมเชื่อว่าหลายต่อหลายคนน่าจะเคยทำแบบนี้ และหลายต่อหลายคนอีกเช่นกันที่ยังคงทำแบบนี้อยู่…ที่เวลาจะทิ้งขยะอะไรก็แค่เทรวมทุกอย่างลงในถุงเดียว ไม่ว่าจะเป็นเศษอาหาร พลาสติก หรือเศษกระดาษ พฤติกรรมที่เราคุ้นเคยนี้กำลังอาจจะกำลังเปลี่ยนไป เมื่อกรุงเทพมหานครเตรียมประกาศใช้นโยบายใหม่ที่สร้างความฮือฮา นั่นคือ
“นโยบายบ้านนี้ไม่เทรวม”
นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการคัดแยกขยะ แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าปัญหาขยะในเมืองหลวงเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว ด้วยปริมาณขยะกว่า 10,000 ตันต่อวัน และการจัดการแบบ เทรวม ที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ กทม. ต้องงัดไม้เด็ดนี้ออกมา เพื่อผลักดันให้คนเมืองและองค์กรต้องปรับตัวอย่างจริงจัง
ในฐานะที่ผม เชื่อมโยงกับทั้งเรื่อง HR เรื่องกฎหมาย รวมไปถึงเรื่อง ESG ผมมองว่านี่คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้การจัดการขยะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนที่จับต้องได้ บทความนี้จะสรุป 4 สิ่งสำคัญที่ HR และคนเมืองต้องรู้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนโยบาย “บ้านนี้ไม่เทรวม” ที่กำลังจะมาถึง
1. ทำความเข้าใจ “บ้านนี้ไม่เทรวม” แยกเปียก ออกจากแห้ง
หลักการของ นโยบายบ้านนี้ไม่เทรวม นั้นไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ โดย กทม. จะกำหนดให้เราต้องแยกขยะมูลฝอยออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ขยะเปียก (เศษอาหาร เปลือกผลไม้) และ ขยะทั่วไป (ขยะที่เหลือจากการแยกประเภทอื่น ๆ)
เหตุผลก็เพราะเมื่อขยะเปียกปนกับขยะแห้งจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เน่าเสีย และทำลายกระบวนการรีไซเคิลของขยะแห้งอย่างสิ้นเชิง

2. เตรียมตัวอย่างไร
หลายคนกังวลว่าต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ราคาแพง หรือต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้น ความจริงแล้วคุณสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองครับ
- สำหรับ HR:
- สื่อสารให้ชัดเจน: จัดทำโปสเตอร์ infographic ง่าย ๆ หรือจัดอบรมสั้น ๆ เพื่อให้พนักงานเข้าใจหลักการแยกขยะที่ถูกต้อง
- จัดหาอุปกรณ์ (อย่างง่ายๆ ก็ได้นะ): จัดให้มีถังขยะแยกประเภทที่ชัดเจนในสำนักงาน หรือใช้กล่องกระดาษเหลือใช้มาดัดแปลงเป็นถังขยะชั่วคราวก็ได้
- สำหรับคนเมือง:
- เริ่มต้นที่บ้าน: เพียงแค่ใช้ถุงพลาสติกเหลือใช้ 2 ใบ หรือถุงคนละสีเพื่อแยกขยะเปียกและขยะแห้งออกจากกัน
3. ประโยชน์ที่จับต้องได้
ส่วนลดค่าธรรมเนียมการเก็บและกำจัดขยะ เดือนละ 40 บาท ลองคิดดูว่าหากทุกที่บ้านสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้แม้เพียงเล็กน้อย (ไม่แยกเก็บ 60 บาท แยก 20 ลดได้เดือนละ 40 ปีละ 480 บาท) ก็จะกลายเป็นเงินออมที่สำคัญในระยะยาว นี่คือการแปลงหน่วยของการเพิ่มขั้นตอนในการทิ้งขยะนิดหน่อยนั้นให้กลายเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า
4. จากการแยกขยะสู่การขับเคลื่อน ESG ที่แท้จริง
ในมุมมองของ ESG การแยกขยะคือการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในความยั่งยืนที่แท้จริง
- E (Environmental): การแยกขยะเปียกออกจากแห้งช่วยลดมลพิษ และเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล นำไปสู่การช่วยลดก๊าซเรือนกระจก
- S (Social): การที่องค์กรส่งเสริมการแยกขยะ ถือเป็นการสร้างพฤติกรรมเชิงบวก และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม
- G (Governance): การปฏิบัติตามนโยบายรัฐอย่างเคร่งครัด สะท้อนถึงธรรมาภิบาลที่ดีขององค์กร
การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากตัวเรา
นโยบาย บ้านนี้ไม่เทรวม อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง แต่หากทุกคนร่วมมือกันอย่างจริงจัง มันจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาขยะและสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับทุกคนในอนาคต