ก่อนที่เราจะคุยกันเรื่อง ดื่มน้ำลดน้ำหนัก ก่อนอื่นต้องบอกว่า “น้ำ” เป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายของเราจะขาดไปไม่ได้ เพราะ “น้ำ” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกาย โดยในร่างกายของเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 60% ของน้ำหนักตัว เราจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมในทุกๆ วัน เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย รวมไปถึงการนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย
ร่างกายเราต้องการน้ำวันละเท่าไร
สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of sciences – NAS) และ สถาบันแพทยศาสตร์ (The Institute of Medicine – IOM) ได้ให้คำแนะนำในการดื่มน้ำ ดังนี้
ผู้ชาย ควรดื่มวันละประมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน ประมาณ 3 ขวดใหญ่ (ใครดื่มน้ำได้วันละ 3 ขวดใหญ่บ้างครับ)
ผู้หญิง ควรดื่มวันละประมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน ประมาณ 2 ขวดใหญ่
หรือสามารถคำนวณน้ำหนักตัว
สูตร [น้ำหนัก x 2.2 x 30/2] /1000 = ปริมาณน้ำ (ลิตร)
เช่น น้ำหนักตัว 70 kg หากนำมาคำนวณ ตามสูตรต้องดื่มน้ำ ( 70 x 2.2 x 30/2 ) / 1,000 = 2.31 ลิตร เท่ากับคนน้ำหนักตัว 70 kg หากนำมาคำนวณตามสูตร จะต้องดื่มน้ำประมาณ 2.31 ลิตร นะครับ (อันนี้น่าจะใกล้เคียงกับการดื่มน้ำต่อวันของเรา)
“ดื่มน้ำลดน้ำหนัก” น้ำจะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ
มีการทดลองกับอาสาสมัครวัยหนุ่มสาวจำนวน 14 คน นักวิจัยพบว่าการ ดื่มน้ำลดน้ำหนัก ปริมาณ 0.5 ลิตร จะทำให้อัตราการเผาผลาญใช้พลังงานของร่างกายระดับพื้นฐาน ซึ่งเป็นการใช้แคลอรีหรือพลังงานที่เกิดขึ้นขณะคนเราอยู่นิ่งและไม่ได้ออกกำลังกาย เพิ่มสูงขึ้นราว 24% แต่ระดับการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นนั้น จะคงอยู่ได้เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้วไม่ได้ส่งผลให้เราใช้พลังงานเพิ่มขึ้น หรือ ลดน้ำหนัก ตัวลงได้มากมายแต่อย่างใด โดยร่างกายของผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากการดื่มน้ำ 0.5 ลิตร เพียง 20 แคลอรีเท่านั้น
ดังนั้น อัตราการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นจากการ ดื่มน้ำลดน้ำหนัก จึงไม่มากพอที่จะช่วยลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แม้เราจะดื่มน้ำเพิ่มขึ้นอีกจากระดับปกติถึงวันละ 1.5 ลิตร ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการ ลดน้ำหนัก อย่างมีนัยสำคัญ
แต่อย่างไรก็ตามการดื่มน้ำแม้จะไม่ได้ส่งผลต่อการลดน้ำหนักโดยตรงอย่างมีนัยสำคัญ แต่น้ำอาจมีส่วนช่วยในด้านอื่นๆ ที่ส่งผลให้การลดน้ำหนักได้ดีขึ้น และน้ำยังคงสำคัญต่อร่างกาย ที่ร่างกายจะขาดไปไม่ได้ ดังนั้นเราควร ดื่มน้ำเพื่อเป็นการรักษาสมดุลของร่างกาย และให้ร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยนะครับ
ที่มาข่าวงานวิจัย https://www.bbc.com/thai/articles/cn0e51pgq1go