เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างมื้อค่ำกับเพื่อนที่ทำโรงงานเย็บกระเป๋าเล็กๆ ของตัวเอง ผมโยนคำถามง่ายๆ ลงกลางวงสนทนา “เคยได้ยินคำว่า ESG ไหม”
เพื่อนทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาตามตรง “ไม่เคยเลยว่ะ มันคืออะไร”
คำตอบที่เป็นคำถามนั้นไม่ได้น่าแปลกใจเลยครับ ในโลกของผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ที่ทุกวันคือการต่อสู้กับต้นทุน ออเดอร์ และการดูแลพนักงาน คำศัพท์อย่าง ESG อาจฟังดูเหมือนเรื่องของบริษัทมหาชนที่อยู่ไกลตัว แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่อง “ปากท้อง” ของพวกเราทุกคน
ผมจึงค่อยๆ เล่าให้เพื่อนฟัง ว่า
ESG คืออะไร มองให้ง่ายในมุมโรงงานของเรา
“ลองนึกภาพตามนะ”
“ESG ที่ฟังดูเหมือนซับซ้อน แต่มันคือหลักการง่ายๆ ในการทำธุรกิจให้มีกำไร ดี และยั่งยืนเหมือนการตรวจสุขภาพธุรกิจของเราใน 3 ด้าน”
- E – Environment (สิ่งแวดล้อม): “ด้านนี้คือการดูแลโลกที่เราอาศัยอยู่ สำหรับโรงงานเย็บกระเป๋า มันคือเรื่องใกล้ตัวมากๆ เช่น การจัดการเศษผ้า ไม่ให้เหลือทิ้งเป็นขยะอย่างไร้ค่า จะนำไปบริจาค หรือสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ไหม การประหยัดพลังงาน อย่างการเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED หรือปิดไฟปิดแอร์ตอนพักเที่ยง มันก็ช่วยลดค่าไฟได้โดยตรง หรือถ้ามองไปไกลกว่านั้น คือการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผ้าจากเส้นใยรีไซเคิล”
- S – Social (สังคม): “ด้านนี้คือการดูแล ‘คน’ ที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมด เริ่มจากคนที่ใกล้ที่สุดคือ พนักงานในโรงงาน เราจ่ายค่าแรงเป็นธรรมไหม สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยหรือเปล่า มีสวัสดิการให้เขาตามสมควรไหม พนักงานที่มีความสุข ก็สร้างงานที่มีคุณภาพนะ ถัดมาคือ ลูกค้า กระเป๋าที่เราทำมีคุณภาพดี สมราคา ไม่หลอกลวงผู้บริโภคใช่ไหม และสุดท้ายคือ ชุมชนรอบโรงงาน เราสร้างเสียงดังหรือปล่อยของเสียรบกวนเพื่อนบ้านหรือเปล่า การเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ก็คือส่วนหนึ่งของ S”
- G – Governance (ธรรมาภิบาล): “คำนี้อาจฟังดูใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันคือการทำธุรกิจอย่าง ซื่อตรง และ โปร่งใส สำหรับโรงงานเรา มันคือการ เสียภาษีให้ถูกต้อง ไม่รับงานใต้โต๊ะ มีกฎระเบียบการทำงานที่ชัดเจน และที่สำคัญคือ การตัดสินใจที่คำนึงถึงผลกระทบ รอบด้าน ไม่ใช่แค่เอากำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง”
เพื่อนฟังแล้วพยักหน้า ก่อนจะถามกลับมา ว่า…
“แล้วทำไมเราต้องทำ ทำแล้วได้อะไร”
นี่คือหัวใจของเรื่องทั้งหมดครับ เพราะสำหรับ SME แล้ว ทุกการกระทำต้องตอบโจทย์เรื่อง “ความอยู่รอด” และ “การเติบโต” ได้
เหตุผลที่ “ต้องทำ” (The Push):
- โลกเปลี่ยนแล้ว: คู่ค้าหรือแบรนด์ใหญ่ๆ ที่เพื่อนรับงานมาผลิต (Supply Chain) ตอนนี้ถูกกดดันจากนักลงทุนและกฎหมายสากลให้ต้องรายงานเรื่อง ESG ตลอดทั้งกระบวนการผลิต นั่นหมายความว่าอีกไม่นาน เขาจะหันมาถามโรงงานเล็กๆ อย่างเราว่า “คุณทำ ESG แล้วหรือยัง” ถ้าเราไม่มีคำตอบ…ออเดอร์อาจจะหายไปอยู่ในมือคู่แข่งที่พร้อมกว่า
- แหล่งทุนยุคใหม่: ธนาคารหรือสถาบันการเงินเริ่มใช้ปัจจัย ESG มาพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อแล้ว ธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องพวกนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าในระยะยาว ทำให้มีโอกาสเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น หรือได้ในเงื่อนไขที่ดีกว่า
- กฎหมายและกฎระเบียบ: ภาครัฐทั่วโลก รวมถึงไทย กำลังออกกฎเกณฑ์ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและแรงงาน การเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้ คือการเตรียมพร้อมรับมือก่อนที่จะถูกบังคับ
ประโยชน์ที่ “จะได้รับ” (The Pull):
- ลดต้นทุน: นี่คือสิ่งที่จับต้องได้เร็วที่สุด การจัดการขยะดีขึ้น การประหยัดพลังงาน การลดการใช้น้ำ ล้วนแปลตรงๆ เป็น “ค่าใช้จ่ายที่ลดลง” ในทุกเดือน
- เพิ่มโอกาส: การมีจุดยืนเรื่อง ESG ทำให้ธุรกิจของเราแตกต่างและโดดเด่น สามารถเป็นจุดขายใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน หรือเปิดประตูสู่การส่งออกไปยังตลาดยุโรปหรืออเมริกาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
- สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: ในยุคที่ผู้บริโภคมีข้อมูลมหาศาล แบรนด์ที่ “ดี” และ “รับผิดชอบต่อสังคม” จะได้รับความไว้วางใจและความภักดีจากลูกค้ามากกว่า
- ได้ใจพนักงาน: พนักงานอยากทำงานในองค์กรที่ดูแลเขาและใส่ใจโลกรอบตัว การทำ ESG ช่วยลดอัตราการลาออกและดึงดูดคนเก่งๆ ให้มาร่วมงานกับเราได้
“ท้ายที่สุดแล้วเพื่อน” ผมสรุป “ESG ไม่ใช่ภาระ มันไม่ใช่ต้นทุนที่สูญเปล่า แต่มันคือ การลงทุนเพื่ออนาคต ของโรงงานเราเอง มันคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจแข็งแรงพอที่จะยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้ในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
“การทำธุรกิจที่ดี ไม่ใช่แค่การสร้างผลกำไรสูงสุด แต่คือการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) – ESG น่ารู้
- สถาบันไทยพัฒน์ – Thaipat Institute